ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาตามมติเสียงข้างมากขององค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน ยึดทรัพย์ อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 46,373 ล้านบาทให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดยระบุเหตุผลว่า เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่อันเป็นการร่ำรวยผิดปกติ และเป็นการกระทำที่ขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม
คำพิพากษาดังกล่าวมีขึ้นหลังอัยการสูงสุดได้ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์ของทักษิณและครอบครัวจำนวน 76,261.6 ล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน โดยศาลให้ยึดเฉพาะเงินค่าขายหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ส่วนที่เพิ่มขึ้นหลังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเงินปันผล และคืนส่วนที่เหลือ 30,247 ล้านบาท เพราะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เงินที่มีอยู่แต่เดิม
มติขององค์คณะผู้พิพากษาระบุว่า ในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทักษิณได้ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ รวมทั้งสิ้น 5 กรณี ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ได้แก่
- ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอไอเอส หลังแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต ทำให้รัฐเสียหายกว่า 60,000 ล้านบาท
- ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้บริษัทเอไอเอส หลังปรับลดส่วนแบ่งค่าสัมปทานโทรศัพท์ระบบเติมเงิน
- ได้รับประโยชน์จากการแก้สัญญาให้รัฐร่วมรับผิดชอบค่าใช้เครือข่ายร่วมกับเอไอเอส ทำให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) และการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ได้รับความเสียหาย
- การสนับสนุนธุรกิจดาวเทียมไอพีสตาร์ เอื้อประโยชน์บริษัทชินคอร์ปฯ และไทยคม
- สั่งให้ EXIM Bank อนุมัติเงินกู้ให้พม่า 4,000 ล้านบาท เอื้อประโยชน์บริษัทไทยคมและชินคอร์ปฯ
ภาพ: Pictures From History / Universal Images Group via Getty Images