นาทีนี้ไม่มีกุนซือคนไหนในโลกฟุตบอลที่เนื้อหอมไปกว่า ชาบี อลอนโซ อีกแล้ว
อดีตมิดฟิลด์มาดคุณชายสร้างปรากฏการณ์สนั่นวงการฟุตบอลเยอรมันด้วยการเปลี่ยน ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน จากทีมที่ตกระกำลำบากกลายมาเป็นทีมที่มีโอกาสจะโค่นบัลลังก์บาเยิร์น มิวนิก แชมป์บุนเดสลีกา 11 สมัยได้ในฤดูกาลนี้ ด้วยสไตล์การเล่นฟุตบอลแบบสมัยใหม่ที่ไม่ได้มีแค่รูปแบบสวยงาม แต่ยังดุดันเร้าใจ และไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ ด้วย
เรื่องนี้ไม่ได้ล้อเล่น เพราะเลเวอร์คูเซนจนถึงตอนนี้ไม่แพ้ใครติดต่อกัน 32 นัดแล้วตลอดทั้งฤดูกาล
ไม่แปลกที่อลอนโซจะกลายเป็นเป้าหมายของบรรดาสโมสรใหญ่ที่อยากได้ตัวไปร่วมทีม ซึ่งถึงตอนนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า 2 สโมสรที่ต้องการได้เขาไปร่วมทีมคือลิเวอร์พูล และบาเยิร์น มิวนิก โดยมีรายงานข่าวล่าสุดจากเยอรมนีว่า เริ่มมีการทาบทามตัวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ทีมไหนคือทีมที่เหมาะสมมากกว่ากัน?
ทายาทของคล็อปป์
นับตั้งแต่การประกาศข่าวช็อกวงการของ เจอร์เกน คล็อปป์ ที่จะวางมือจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ชื่อของอลอนโซคือตัวเลือกลำดับแรกในความเห็นของแฟนฟุตบอลทันที
เพราะไม่เพียงแค่เรื่องของฝีไม้ลายมือที่ไม่ธรรมดา แต่ยังมีเรื่องของความผูกพันที่ลึกซึ้งระหว่างกันด้วย
ย้อนกลับไปในอดีต อลอนโซเคยเป็นนักเตะระดับยอดขวัญใจของเหล่าเดอะค็อป หลังถูก ราฟาเอล เบนิเตซ ดึงตัวมาจากเรอัล โซเซียดาดในปี 2004 เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในนักเตะชุดแรกที่อดีตนายใหญ่ชาวสเปนเชื่อใจในการเริ่มต้นงานใหม่ที่แอนฟิลด์
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมากองกลางมาดคุณชายที่มีท่วงท่าลีลาการเล่นที่สง่างาม และมีทีเด็ดในการเปิดบอลยาวที่ขึ้นชื่อลือชามาตั้งแต่ครั้งยังเป็นดาวรุ่งของโซเซียดาด ก็กลายเป็นเสาหลักในแดนกลางของลิเวอร์พูลร่วมกับ สตีเวน เจอร์ราร์ด
อลอนโซคือคนทำประตูตีเสมอให้ลิเวอร์พูลไล่ตามเอซี มิลาน 3-3 ในเกมนัดชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีก ‘ปาฏิหาริย์แห่งอิสตันบูล’ เมื่อปี 2005 ก่อนที่จะคว้าแชมป์ในการดวลจุดโทษ และยังเคยยิงประตูไกลจากครึ่งสนามอีกถึง 2 ครั้ง
แม้สุดท้ายจะอำลาทีมอย่างเจ็บปวดไปอยู่กับเรอัล มาดริด เพราะผิดใจกับเบนิเตซที่ต้องการขายเขาเพื่อหาเงินไปซื้อ แกเร็ธ แบร์รี กองกลางอีกรายมากกว่า แต่ในความผูกพันกับสโมสร เมือง และแฟนบอลลิเวอร์พูลสำหรับอลอนโซแล้ว แอนฟิลด์คือบ้านของเขาเสมอ
มีกระแสข่าวว่าอลอนโซมี ‘สัญญาสุภาพบุรุษ’ กับสโมสรว่า หากมีสโมสรใหญ่ติดต่อมามีสิทธิ์ที่จะย้ายออกไปได้ ซึ่งลิเวอร์พูลเป็นหนึ่งในนั้น
แต่ลิเวอร์พูลไม่ใช่ทีมเดียวที่อยากได้เขา
เจอร์เกน คล็อปป์ ปูรากฐานและทิ้งมรดกมากมายไว้ให้ที่แอนฟิลด์ สำหรับผู้จัดการทีมในอนาคต
ผู้กอบกู้แห่งบาเยิร์น
วิกฤตในทีมบาเยิร์น มิวนิก ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของวงการฟุตบอลเมืองเบียร์ได้นำไปสู่จุดพลิกผันที่น่าสนใจในเรื่องอนาคตของอลอนโซ
เพราะหลังจากที่ โธมัส ทูเคิล นายใหญ่คนปัจจุบันเริ่มประสบปัญหาการคุมทีม ผลงานของบาเยิร์นดำดิ่งจนน่าใจหาย ทั้งพ่ายในซูเปอร์คัพ ตกรอบเดเอฟเบ โพคาล แพ้ในรอบน็อคเอาต์แชมเปียนส์ลีก เสี่ยงต่อการตกรอบ ยังถูกเลเวอร์คูเซนโกยแต้มหนีห่างไปไกลในบุนเดสลีกา ทำให้บอร์ดบริหารของสโมสรไม่เหลือทางเลือกมากนัก
สุดท้ายมีการตกลงที่จะแยกทางกันหลังจบฤดูกาลนี้ ซึ่งการที่ยักษ์ใหญ่แห่งแคว้นบาวาเรียขยับตัวเร็วแบบนี้นั้นเป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้คืออลอนโซนั่นเอง
เพราะหากช้าไปกว่านี้ มีความเป็นไปได้สูงที่อลอนโซจะเลือกตอบตกลงรับงานคุมทีมลิเวอร์พูลต่อจากคล็อปป์
โดยที่ในเรื่องของสายสัมพันธ์แล้วบาเยิร์นเองก็เป็นหนึ่งใน ‘ทีมเก่า’ ของกุนซือมาดคุณชายด้วยเช่นกัน ในฐานะสโมสรสุดท้ายในชีวิตก่อนที่จะประกาศอำลาสนามไปเมื่อปี 2017
ยักษ์เมอร์ซีย์ไซด์ vs. ยักษ์บาวาเรีย
ตำนานไทยมีเรื่องยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์ แต่ตอนนี้เรากำลังจะได้ดูยักษ์เมอร์ซีย์ไซด์ปะทะกับยักษ์บาวาเรียในการชิงตัวอลอนโซ
โดยมีรายงานว่าทั้งลิเวอร์พูลและบาเยิร์น มิวนิก เดินหน้าทาบทามฝ่ายของอลอนโซแล้ว ซึ่งคนที่ออกข่าวเป็นนักข่าวในกลุ่มที่ได้รับความเชื่อถือสูงอย่าง ฟาบริซิโอ โรมาโน และฟลอเรียน เพลตเทนเบิร์ก แห่ง Sky Sports Germany
สิ่งที่ทั้งสองรายงานตรงกันคือ ลิเวอร์พูลสนใจในตัวอลอนโซ 100%
ในขณะที่เพลตเทนเบิร์กรายงานว่าบาเยิร์นต้องการได้ตัวอลอนโซเช่นกัน “แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องยาก” ก็ตาม
ในรายงานยังระบุว่าอลอนโซยังไม่ต้องการตัดสินใจเรื่องของอนาคตในเวลานี้ เพราะอยู่ระหว่างการทำ ‘Mission Impossible’ ในการพาเลเวอร์คูเซนคว้าแชมป์บุนเดสลีกาให้ได้ก่อน โดยจะตัดสินใจเรื่องอนาคตอีกครั้งหลังจบฤดูกาลนี้
แต่ในหลังฉากแล้วการเจรจาจะดำเนินไปอย่างรวดเร็วและร้อนแรง ซึ่งทั้งลิเวอร์พูลและบาเยิร์นจะต้องนำเสนอ ‘โปรเจกต์’ ของพวกเขาว่าสโมสรมีแนวทาง ทิศทาง นโยบายต่างๆ ไปจนถึงจะให้การสนับสนุนการทำงานอย่างไร
โดยที่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องของค่าตอบแทนที่จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญเช่นเดียวกัน
การรับช่วงคุมบาเยิร์นต่อจาก โธมัส ทูเคิล คือความท้าทายที่ยากยิ่ง
ความท้าทายที่แตกต่าง
ทั้งนี้ ลิเวอร์พูลและบาเยิร์นต่างเป็นทีมยักษ์ใหญ่ในระดับอีลีตของวงการฟุตบอลระดับโลก ไม่เฉพาะแค่ในประเทศ แต่มีชื่อเสียงและประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ยาวนาน รวมถึงมีความแข็งแกร่งในรากฐานของสโมสร
จุดที่อาจเป็นตัวกำหนด คือองค์ประกอบและปัจจัยภายในสโมสรที่มีความแตกต่างกัน
ลิเวอร์พูลในยุคของ Fenway Sports Group เป็นสโมสรฟุตบอลในแบบสมัยใหม่ที่เน้นการบริหารกิจการอย่างยั่งยืน (Sustainability) ไม่ใช้งบประมาณในการทุ่มซื้อนักเตะเพื่อความสำเร็จ แต่จะเลือกเฉพาะนักเตะที่มีความเหมาะสมกับแนวทางของสโมสรเท่านั้น
สำหรับสภาพทีมในปัจจุบัน ถูกเรียกว่า ‘ลิเวอร์พูล 2.0’ จากการที่คล็อปป์เปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ มีการถ่ายเลือดครั้งมโหฬารโดยนอกจากจะได้นักเตะฝีเท้าดีมาแก้ปัญหาในแดนกลางอย่าง อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ หรือ วาตารุ เอ็นโดะ ยังให้โอกาสดาวรุ่งอย่าง จาเรลล์ ควานซาห์ และ คอเนอร์ แบรดลีย์ แจ้งเกิดในทีมชุดใหญ่ด้วย
เรียกได้ว่าทีมตอนนี้ดูดีอย่างมาก เป็นมรดกที่ดีที่สุดที่คล็อปป์ตั้งใจจะเหลือไว้ให้ทีม แต่ก็มีเรื่องของสไตล์การเล่นที่มีความแตกต่างกันพอสมควร
แต่ในเชิงของชื่อเสียงและความท้าทาย การรับงานต่อจากคล็อปป์และได้ลองวิชาในพรีเมียร์ลีกที่แข็งที่สุดในโลกตอนนี้ เป็นงานในฝันเลยก็ว่าได้
ในขณะที่บาเยิร์น มิวนิก แม้จะอยู่ในบุนเดสลีกาซึ่งเป็นลีกที่ไม่อู้ฟู่เหมือนพรีเมียร์ลีก แต่เรื่องของอำนาจทางการเงินแล้วพวกเขาไม่ได้เป็นสองรองลิเวอร์พูลเลย สโมสรมีความแข็งแกร่งทางการเงินสูง และหากต้องการได้นักเตะคนไหนก็พร้อมจะทุ่มเงินซื้อมาร่วมทีมทันที ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ แฮร์รี เคน ที่ถูกซื้อตัวมาด้วยค่าตัวมหาศาล
ปัญหาใหญ่คือสภาพทีมบาเยิร์นจำเป็นจะต้องมีการรื้อกันครั้งใหญ่ เพราะถึงจะมีเคนและมีสตาร์อย่าง จามาล มูเซียลา, โจชัว คิมมิช และ อัลฟอนโซ เดวีส์ แต่องค์ประกอบอื่นๆ แล้วยังดูเต็มไปด้วยปัญหาที่ต้องได้รับการสะสางแก้ไข
มองในแง่ของความท้าทาย การปั้นบาเยิร์นขึ้นมาใหม่อาจยากกว่าการรับช่วงต่อทีมพลังคนหนุ่มที่คล็อปป์เหลือเอาไว้ให้ แต่ข้อดีคือบาเยิร์นเป็นทีมที่ไม่ได้มีเอกลักษณ์ตายตัว หัวใจอยู่ที่การบุกถล่มคู่ต่อสู้เพื่อคว้าชัยชนะให้ได้
แต่ถ้าทำได้ การจะคว้าแชมป์โดยเฉพาะในประเทศก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะบาเยิร์นแทบผูกขาดอยู่แล้วในบุนเดสลีกา
เพราะครอบครัวคือตัวแปร
อีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจได้คือเรื่องของครอบครัว
ปัจจุบันครอบครัวของอลอนโซอาศัยอยู่ในเมืองเลเวอร์คูเซน ซึ่งแม้จะอยู่คนละฟากกับมิวนิกที่อยู่ในแคว้นบาวาเรีย แต่ นาโกเร อรันบูรู ภรรยา และ จอน ลูกชายก็มีความสุขดีกับชีวิตในเยอรมนี
ในขณะที่ชีวิตในเมืองลิเวอร์พูลก็ไม่ได้ถึงกับเป็นเรื่องไม่คุ้นชิน เพียงแต่ไลฟ์สไตล์ของอลอนโซเป็นคนชอบความศิวิไลซ์ เมื่อครั้งเล่นกับลิเวอร์พูลก็พักอาศัยย่านใจกลางเมือง ซึ่งแตกต่างจากนักเตะคนอื่นๆ ที่ชอบความสงบย่านชานเมืองมากกว่า
อลอนโซพบรักกับภรรยา นาโกเร ก็ที่บาร์ในโรงแรมโฮปสตรีทโฮเทล (ซึ่งในช่วงหนึ่งเป็นโรงแรมที่พักประจำที่นักเตะลิเวอร์พูลจะมารวมตัวกันก่อนเกมที่แอนฟิลด์) และลูกชายของเขา จอน ก็เกิดที่เมอร์ซีย์ไซด์เมื่อปี 2008
เรื่องความสุขสบายของครอบครัวก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน ซึ่งแม้แต่คล็อปป์เองภรรยาอย่าง อุลลา ก็มีผลต่อการตัดสินใจต่อสัญญามาแล้วในปี 2022 ดังนั้นบางทีในจุดที่ต้องเลือก เสียงจากครอบครัวอาจมีผลต่อการตัดสินใจของอลอนโซเช่นกัน
การอยู่เลเวอร์คูเซนต่อก็เป็นอีกทางเลือกสำหรัลอลอนโซ
ทางเลือกที่ 3 สำหรับอลอนโซ
อย่างไรก็ดี อลอนโซไม่ได้มีทางเลือกแค่ 2 ทาง
เขามีทางเลือกที่ 3 ด้วยนั่นคือการตัดสินใจอยู่กับเลเวอร์คูเซนต่อไป เพราะตอนนี้ก็มีความสุขดี ทีมกำลังทำผลงานได้ดี แฟนบอลก็แฮปปี้ดี ทุกอย่างสวยงาม
อีกทั้งการตัดสินใจรับงานใหญ่ทั้งๆ ที่มีประสบการณ์ทำงานน้อยก็อาจเป็นความเสี่ยงได้เช่นกัน เพราะแรงกดดันไม่ว่าจะกับลิเวอร์พูลหรือบาเยิร์นนั้นย่อมแตกต่างจากที่เลเวอร์คูเซนมาก ความพ่ายแพ้แค่เกมเดียวอาจหมายถึงโลกแตกได้เลย ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะรับมือไหว
ดังนั้นหากสุดท้ายอลอนโซเลือกที่จะอยู่กับเลเวอร์คูเซนต่อไปก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เช่นกัน เพราะหากเขายังทำได้ดีกับทีมต่อไป ช้าหรือเร็วโอกาสจากทีมยักษ์ใหญ่ก็จะกลับมาอยู่แล้ว
เพียงแต่ระหว่างนี้จะเป็นช่วงเวลาที่อลอนโซต้องแอบคิดในใจเอาไว้ว่า ถึงเวลาจะต้องเลือกจริงๆ เขาอยากจะไปทางไหน
เมอร์ซีย์ไซด์ บาวาเรีย หรืออยู่ที่เดิมต่อไป
อ้างอิง: