หลังจากเมียนมานำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ (BEV) ล็อตแรกจากจีน ภายใต้โครงการนำร่องส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศเป็นระยะเวลา 1 ปี ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยไฟเขียวยกเว้นภาษีนำเข้า 0% พร้อมห้ามนำเข้ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีนหลั่งไหลเข้ามาต่อเนื่อง
สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในเมียนมาเพิ่มขึ้นมากกว่า 6.5 เท่า เริ่มมีโชว์รูมรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนอย่าง BYD, NETA และ MG เข้ามาทำตลาดและขยายสาขาในย่านเมืองหลวงเศรษฐกิจ เช่น ย่างกุ้ง เพิ่มมากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เพิ่มข้อกำหนดให้ผู้นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าทุกค่ายจะต้องมีโชว์รูมบริการหลังการขาย จากก่อนหน้านี้ที่เมียนมาไฟเขียวให้ใบอนุญาตสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 85 แห่ง
ข้อมูลของกระทรวงคมนาคมและการสื่อสารระบุว่า การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้รับการตอบรับดี โดยยอดขาย ณ วันที่ 31 มกราคม 2024 มียอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 2,200 คัน นับเป็นยอดจดทะเบียนเพิ่มขึ้น 6.5 เท่าจากปีก่อนหน้าที่มีประมาณ 1,900 คัน
แหล่งข่าวผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ NETA (Hozon New Energy Automobile) ระบุว่า ปัจจุบันทำงานในเมืองที่อยู่ห่างจากย่างกุ้ง 200 กิโลเมตร ด้วยสถานการณ์พลังงานในเมียนมา ราคาก๊าซธรรมชาติพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ การนำเข้าและจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงหยุดชะงัก และการขาดแคลนเงินตราต่างประเทศ ผู้บริโภคจึงหันมาใช้รถยนต์ EV ซึ่งสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย โดยระยะทาง 100 กิโลเมตร เทียบรถยนต์น้ำมัน 1.5 ลิตร ถูกกว่าในระยะทางเดียวกันถึง 80%
โดยมีค่ายรถจีนอย่างแบรนด์ NETA เข้ามาทำตลาดอย่างเต็มรูปแบบเมื่อปีที่แล้ว ราคาอยู่ที่ประมาณ 77 ล้านจ๊าด (36,700 ดอลลาร์สหรัฐ) รวมไปถึง BYD และ MG ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ SAIC MOTOR ยักษ์ใหญ่ EV จากจีน ก็ได้เข้ามาทำตลาดเช่นกัน โดยปัจจุบัน MG ทำยอดขายได้ 300 คัน และมียอดสั่งจองเพิ่มเติมประมาณ 100 คัน
สำหรับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของเมียนมาในปัจจุบันเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และแบรนด์จีนก็เข้ามาครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์อย่างต่อเนื่อง แม้ยังไม่เติบโตมากนัก แต่จากความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศจีน เมียนมากำลังเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าจีนที่เผชิญกับสงครามราคาและการผลิตส่วนเกิน
รวมไปถึงหลังจากรัฐบาลทหารไม่มีเงินดอลลาร์สหรัฐสำหรับขายให้กับผู้นำเข้าน้ำมันเบนซินและดีเซล จึงห้ามนำเข้ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันตั้งแต่ปี 2022 เพื่อลดเงินทุนสำรองเงินตราต่างประเทศให้น้อยลง ทำให้รัฐบาลเมียนมาหันมาส่งเสริมและก้าวมาเป็นหนึ่งในผู้เล่นยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคมากขึ้น
อ้างอิง: