วันนี้ (20 กุมภาพันธ์) ที่ทำเนียบรัฐบาล พิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการพักโทษของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า อยากให้ทุกคนตั้งสติ การพักโทษเป็นอำนาจฝ่ายบริหาร ซึ่งขณะนี้กระบวนการยุติธรรมจบลงแล้ว ตั้งแต่ศาลออกใบแดงแจ้งโทษ ตอนนี้เข้าสู่กระบวนการพักโทษ บริหารโทษ เป็นอำนาจของกระทรวงยุติธรรม จึงขอให้แยกตัวบุคคลออกจากองค์กร แต่หากมองการพักโทษไม่ถูกต้องก็ควรใช้เวทีสภา ทั้งตั้งกระทู้ถาม เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไปตรวจสอบกันในสภาว่าเป็นไปตามระเบียบหรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดการแตกแยกขึ้นในสังคม ดีกว่ามาเลือกที่รักมักที่ชังและมีอคติต่อกัน แต่ส่วนตัวขอยืนยันว่าการพักโทษของทักษิณไม่ได้เป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรม
ส่วนคดีตามความผิดมาตรา 112 พิชิตกล่าวว่า ตอนนี้ทักษิณได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในเวลาที่เหมาะสม แม้ไม่สะดวก ต้องนั่งวีลแชร์ก็ตาม เริ่มนับหนึ่งเข้าพบอัยการเพราะเป็นคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร ดังนั้นอย่านำ 2 เรื่องนี้มาปนกัน ตนเองในฐานะนักกฎหมาย รู้สึกไม่สบายใจ อยากให้สังคมตั้งหลัก ระหว่างการพักโทษกับการดำเนินคดีเก่าที่ค้างอยู่ ซึ่งทักษิณก็เข้าสู่กระบวนการอย่างไม่อิดออด และตอนนี้ยืนยันว่าทักษิณไม่ได้ถูกอายัดตัว เข้าพบอัยการสูงสุดเองและได้รับการประกันตัว
ส่วนข้อสงสัยเรื่องอาการของทักษิณว่าป่วยวิกฤตจริงหรือไม่ พิชิตกล่าวว่า ต้องยึดหลักเกณฑ์ของการพักโทษว่าป่วยระดับไหน ไม่จำเป็นจะต้องโคม่า แต่จะมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเรื่องสุขภาพ เรื่องป่วยจริงหรือไม่จริง อย่าเอาความรู้สึกส่วนตัวมาวัด แต่ส่วนตัวไม่ทราบว่าทักษิณป่วยเป็นอะไร แต่เมื่อทุกคนรู้ว่าเป็นผู้ป่วยก็ไม่ควรไปตรวจสอบ ให้เป็นเรื่องของแพทย์ ส่วนตัวก็ไม่สบายใจที่ทักษิณไปมอบตัว มีอัยการท่านหนึ่งพยายามจะถ่ายรูป ขอให้ไปตรวจสอบว่าเป็นใคร ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่ามีวัตถุประสงค์อะไร
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ตามขั้นตอนไม่จำเป็นต้องถ่ายรูปใช่หรือไม่ พิชิตกล่าวว่า ไม่ควรถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง แต่มีอัยการท่านหนึ่งพยายามทำ ตนไม่สบายใจ ท่านควรรู้ว่ามันผิดกฎหมาย ไม่ใช่ละเมิดสิทธิ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หลายคนสงสัยเรื่องการไม่ถูกติดกำไล EM พิชิตกล่าวว่า เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการพักโทษ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า อยากให้เข้าสู่กระบวนการทางสภา เหตุใดคณะกรรมาธิการหลายคณะเชิญมาแต่ไม่ให้ข้อมูลเรื่องอาการป่วย และผู้มาชี้แจงอ้างว่าผู้ป่วยไม่ยินยอมให้เปิดเผย พิชิตเชื่อว่า ในที่สุดแล้วฝ่ายนิติบัญญัติจะสามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด และรอให้ถึงวันนั้นประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจเอง
“ถึงบอกให้เห็นใจคุณทักษิณเถอะครับ ท่านอายุ 70 กว่าแล้ว แล้วต้องเข้าสู่กระบวนการรับโทษและกระบวนการยุติธรรมในคดีที่ค้างอยู่ ความรู้สึกของตน ในฐานะผู้ที่มีส่วนในการทำงาน ถือว่าท่านเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่ง่ายมาก ต่างจากคนอื่น และต้องมาตัดสินใจในยามที่ท่านต้องอยู่กับครอบครัว เพราะฉะนั้นอย่าเอาความรู้สึกส่วนตัวเลยครับ ขอให้ยึดหลักเกณฑ์ การกล่าวหาว่าท่านทำลายกระบวนการยุติธรรม ต้องแยกเรื่อง มันสามารถตรวจสอบได้ว่าการพักโทษคือการบริหารโทษ เพราะฉะนั้นบรรดานักโทษที่ได้รับการลดโทษ จำคุก 20 ปี 30 ปี ติดกันไม่เคยครบ คนเหล่านั้นก็ทำลายกระบวนการยุติธรรมหมดสิครับ”
ยืนยันนายกฯ มีคนเดียว ทักษิณพักโทษตามกระบวนการ
ขณะที่ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งการพักโทษครั้งนี้มีวิธีพิจารณาตามเกณฑ์อายุ และเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยอะไร
ส่วนกรณีที่มีผู้วิจารณ์ว่าจะมีนายกรัฐมนตรี 2 คน หลังจากที่ทักษิณได้รับการพักโทษนั้น ประเสริฐกล่าวว่า เป็นความคิดที่คิดไปเอง นายกรัฐมนตรีมีแค่คนเดียวคือ เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งขณะนี้ทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองอยู่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทักษิณป่วยจริงหรือไม่นั้น ประเสริฐกล่าวว่า เท่าที่เห็นตามข่าวก็เห็นว่าป่วย มีการสวมเฝือกที่คอและแขน และปกติคนอายุมากกว่า 70 ปี มักมีโรคประจำตัว ทั้งโรคความดันและโรคหัวใจ และบางคนก็ต้องเข้ารับการรักษาตัว ถือเป็นเรื่องที่รับฟังได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีโอกาสจะเข้าไปเยี่ยมทักษิณที่บ้านพักหรือไม่นั้น ประเสริฐกล่าวว่า ขณะนี้ทักษิณพักโทษอยู่ที่บ้านพัก ควรให้เวลาอยู่กับครอบครัว แต่หากมีเวลาและมีโอกาสที่ดีก็จะถือโอกาสเข้าไปกราบทักษิณ เพราะเคยทำงานร่วมกันมาตั้งแต่สมัยที่ทักษิณเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยและตนเป็นลูกพรรค สมัยตนเป็น สส. สมัยแรก ก็ได้ทำงานร่วมกันด้วย และเล็งเห็นว่าทักษิณเป็นผู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศได้หลายอย่าง จึงชื่นชมและเคารพนับถือ
ประเสริฐกล่าวต่อว่า ด้วยประสบการณ์ของทักษิณที่ผ่านมา สามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ ส่วนจะออกมาในบทบาทไหนไม่อาจทราบได้ ถ้ามองดูสมัยก่อนที่ทักษิณลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ก็มีการแสดงความคิดเห็นที่เป็นห่วงประเทศ ผ่านรายการต่างๆ แสดงถึงความห่วงใยที่มีต่อประเทศไทย ตนคิดว่าความเห็นของทักษิณจะเป็นประโยชน์ ไม่ว่าหน่วยงานหรือบุคคลใดจะนำไปปฏิบัติตามก็สุดแล้วแต่