วันนี้ (3 มกราคม) เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส. บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้อภิปรายในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท วาระแรก
เอกนัฏกล่าวว่า ตนขอเชิญชวนเพื่อนสมาชิกที่อยู่ในห้องประชุมร่วมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2567 นี้ ขอให้คิดถึงพี่น้องประชาชน คิดถึงผู้ประกอบการ นึกถึงประเทศที่รอพวกเราอยู่ เพราะขณะนี้เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่ถูกใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ 4 เครื่อง คือ การบริโภค การลงทุน การส่งออก และการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งเครื่องยนต์ตัวที่ 4 ถูกดับมา 3 เดือนแล้ว กว่าพวกเราจะพิจารณางบประมาณฯ เสร็จเรียบร้อยใช้เวลา 3-4 เดือน เครื่องยนต์เครื่องนี้จะถูกใส่เกียร์ว่างต่อไป ฉะนั้น ในการอภิปรายจะมีสมาชิกได้แสดงความเห็นกันอย่างเต็มที่ แต่ในที่สุดเราต้องเร่งพิจารณาผ่านงบประมาณฯ ฉบับนี้ให้มีเม็ดเงินออกไปใช้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
เอกนัฏกล่าวว่า นอกจากประเทศรอไม่ได้แล้ว เราพูดกันอยู่เสมอว่าในยุคโลกาภิวัตน์มีการเปลี่ยนแปลงของโลกแบบพลิกผืนแผ่นดิน ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราประสบปัญหาโควิด โรคอุบัติใหม่ เรากำลังถูกท้าทายด้วยการดิสรัปต์ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ จากเดิมดิจิทัลดิสรัปชัน มาเป็น AI ดิสรัปชัน เรากำลังเผชิญกับความท้าทายในส่วนของสังคมผู้สูงวัย ตัวเลขที่ถูกวิเคราะห์เราเห็นเลยว่าทุก 10 ปี ปี 2556, ปี 2566 และปี 2567 มีการประเมินว่าสัดส่วนของผู้สูงวัยสูงขึ้นทุก 10 ปี 7-10% จะส่งผลอย่างไรต่อประสิทธิภาพของผลผลิตของประเทศ แต่ที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยคือการเปลี่ยนแปลงของอากาศ เพราะประเทศเราสร้างรายได้จากพื้นฐานของการทำเกษตรกรรม
ทั้งนี้ ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ปรากฏการณ์เอลนีโญที่ทำให้พี่น้องเกษตรกรเกิดภัยแล้งถี่มากทุก 2 ปี ฉะนั้น เครื่องยนต์ที่รอให้ติดในส่วนของการขับเคลื่อนภาครัฐ รวมถึงความท้าทายที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ และปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโควิด หรือผลกระทบที่ส่งมาจากต่างประเทศ อาทิ สงครามความขัดแย้ง จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่เราต้องเร่งพิจารณางบประมาณฯ ฉบับนี้เพื่อดันเงินออกไปใช้ ตนเชื่อว่าถ้าเราช่วยกัน เราสามารถปรับวิธีคิดในการบริหารจัดการการใช้งบประมาณฯ ใน พ.ร.บ. ฉบับนี้ ตนเชื่อว่าเราจะสามารถสร้างโอกาสจากวิกฤตที่เกิดขึ้นได้ ตนไม่อยากให้โอกาสที่เป็นของประเทศที่เกิดจากวิกฤตต้องสูญเสียไปในขณะที่ประเทศไทยมองประเทศเพื่อนบ้านตาปริบๆ GDP เพิ่มขึ้น 4-5% บางประเทศเพิ่ม 6% ที่เราคาดการณ์กันไว้ GDP ปีนี้อย่างดีจะเพิ่มประมาณ 3% กว่า ถ้าจะทำได้ต้องรีบพิจารณาและเร่งใช้งบประมาณฯ ฉบับนี้ ตนยังมีความหวังกับประเทศนี้
เอกนัฏกล่าวด้วยว่า การใช้งบประมาณของประเทศมีการตั้งงบขาดดุลมาเป็นเวลา 20 ปี ตั้งแต่ปี 2549-2550 มีการตั้งงบประมาณสำหรับใช้มากกว่ารายรับของประเทศ ส่วนต่างตรงนี้เรานำมาลงทุนด้วยความหวังที่ว่าจะทำให้เศรษฐกิจเติบโต สร้างรายได้ให้กับประเทศ และในที่สุดก็นำรายได้เหล่านี้มาแบ่งปันในรูปแบบของสวัสดิการ มาแจกจ่ายให้กับประชาชนคนไทยได้ใช้ สำหรับงบประมาณฯ ฉบับนี้มีการตั้งงบประมาณขาดดุลไว้เกือบ 7 แสนล้านบาท คือ 6.93 แสนล้านบาท ตนมาเห็นว่าในส่วนงบลงทุนมีการตั้งไว้ 7.18 แสนล้านบาท แบบนี้มาถูกทางแล้ว เราตั้งงบรายจ่ายสูงกว่าเงินที่เรารับมาในสัดส่วนที่ตรงกับเงินที่นำไปลงทุน แบบนี้ตนถือว่าเริ่มติดกระดุมถูกเม็ด ติดกระดุมแบบนี้แปลว่าเราเห็นความสำคัญของการตั้งงบประมาณสำหรับการลงทุน
ตนชวนสมาชิกทุกคนในการพิจารณางบประมาณฯ ฉบับนี้ อย่ามองยอดงบประมาณเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น ถ้าเราอยากใช้งบประมาณก้อนนี้เป็นการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพแบบมียุทธศาสตร์ อย่ามองเฉพาะยอดเงินที่ปรากฏในเล่ม พ.ร.บ.งบประมาณฯ ฉบับนี้ อย่าดูแค่ว่ามีการตั้งเงินไว้ล้านบาท ร้อยล้านบาท พันล้านบาท นำไปซื้ออะไรได้บ้าง สามารถสร้างถนนได้กี่เส้น สามารถสร้างอาคารได้เท่าไร แต่เราต้องมองว่างบประมาณฯ ฉบับนี้โดยเฉพาะงบลงทุนที่ถูกนำไปใช้ จะช่วยเติมเต็มในส่วนของภาคเอกชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้ได้เท่าไร จะทำแบบนี้ได้ต้องปรับวิธีคิดใหม่ ปรับมายด์เซ็ตใหม่ ไม่ได้มองงบประมาณเป็นเพียงตัวเลข เราต้องใช้งบประมาณเป็นงบลงทุนที่มียุทธศาสตร์
“โครงการใหญ่ๆ ที่มีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เราจับต้องได้ ท่าอากาศยาน โลจิสติกส์ ถนนหนทาง หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เราไม่สามารถจับต้องได้ เช่น ดิจิทัล, AI หรือการสนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่อย่าง EV อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น พลังงานสะอาด, คาร์บอน Net Zero, การเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวด้วย Soft Power เรื่องเหล่านี้เป็นภารกิจสำคัญของประเทศ ถ้าจะทำให้สำเร็จต้องทำให้ใหญ่ ทำให้เร็ว และทำให้แรง” เอกนัฏกล่าว
เอกนัฏกล่าวว่า เมื่อเราได้ร่วมกันพิจารณางบประมาณฯ ฉบับนี้แล้ว ก็หวังว่าเราจะมีบรรยากาศการทำงานร่วมกันตลอดระยะเวลาที่เหลืออยู่อย่างเป็นมิตร การพิจารณางบประมาณฯ ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาล หรือ สส. ซีกฝ่ายค้าน หรือ สส. ฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น สำหรับ สส. ทุกคน เรามีหน้าที่ที่จะต้องร่วมกันทำงาน สำหรับรัฐบาลชุดนี้เราเห็นสัญญาณของการยุติความขัดแย้งผ่านการเลือกตั้งมา 2 รอบแล้ว ตนหวังว่าจะเป็นที่สิ้นสุดวาทกรรมเรื่องเผด็จการและประชาธิปไตย
“ผมหวังว่า สส. ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลจะช่วยกันผลักดันงบประมาณฯ ให้ผ่านโดยเร็ว ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชน เราอยากมีเงินมาลงทุนกับคุณภาพชีวิต มาเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน เพราะความสุขของ สส. ทุกคน ความสุขของพี่น้องประชาชนประเมินค่าไม่ได้ แต่ถ้าอยากใช้ให้กับเขาต้องหารายได้ให้มากกว่านี้ หวังว่า สส. ทุกคนจะเปิดใจให้โอกาสกับประเทศ อยากให้ทำหน้าที่เป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจให้กับพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มทุกวัย ใช้โอกาสนี้ร่วมกันทำงาน ไม่ใช่แค่พิจารณางบประมาณฯ เท่านั้น แต่รวมถึงการติดตามการใช้งบประมาณให้เป็นไปตามยุทธศาสตร์ ให้มีความโปร่งใส ให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วย ผมเชื่อว่าเป็นโอกาสของประเทศไทย และมั่นใจว่าถ้าเราร่วมมือกันเราทำได้ อยากให้ประชาชนคนไทยมีความภูมิใจในความเป็นไทย ถ้าเราอยากให้ประเทศไทยเป็นหนึ่ง เราสามารถทำได้ แต่เราต้องรวมไทยให้เป็นหนึ่งเดียว” เอกนัฏกล่าว