ตลาดหุ้นอเมริกามีการซื้อ-ขายตลอด 24 ชั่วโมง และกิจกรรมการซื้อ-ขายในช่วงเวลาระหว่างเวลา 20.00-04.00 น. ตามเวลาตะวันออก ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้ โดยได้แรงหนุนจากนักลงทุนรายย่อยในเอเชียและยุโรป สิ่งนี้ตอกย้ำสถานะของนิวยอร์กในฐานะศูนย์กลางการซื้อ-ขายหุ้นของโลก
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ดัชนี S&P 500 พุ่งสูงขึ้นในปีนี้ และซื้อ-ขายใกล้จุดสูงสุดตลอดกาล (All-time High) นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังคงดึงดูดการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จากบริษัทต่างๆ ทั่วโลกเข้ามามากมายเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
ไบรอัน ฮินด์แมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Blue Ocean แสดงความเห็นว่า วิกฤตโควิดและการซื้อ-ขายคริปโตที่เกิดขึ้นทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้โลกและการซื้อ-ขายของเทรดเดอร์เปลี่ยนแปลงไป ทุกคนมีการจัดการแบบใหม่และสามารถจัดการกับการซื้อ-ขายชั่วข้ามคืนได้อย่างง่ายดาย
ปริมาณการซื้อ-ขายที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนี้อาจส่งสัญญาณถึงการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้นของสหรัฐฯ ให้กลายเป็นตลาดที่คล้ายกับตลาดอื่นๆ เช่น พันธบัตร ค่าเงิน และดัชนีฟิวเจอร์สหุ้น ซึ่งสามารถซื้อ-ขายได้ตลอดเวลาตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์
ความสนใจของนักลงทุนขยายออกไปมากกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Apple หรือ Microsoft โดยมีการซื้อ-ขายหุ้นที่แตกต่างกันมากกว่า 4,000 ตัวในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และการซื้อ-ขายที่เกิดขึ้นแบบตลอดเวลานี้ได้กำลังดึงดูดโบรกเกอร์ให้เสนอบริการซื้อ-ขายแบบข้ามคืนมากขึ้นด้วย
Robinhood ถือเป็นโบรกเกอร์รายแรกที่เสนอการซื้อ-ขายแบบข้ามคืนให้กับนักลงทุนรายย่อยในเดือนมิถุนายน จากนั้นในสัปดาห์ต่อมา Interactive Brokers ก็เริ่มเสนอขายหุ้นมากกว่า 10,000 ตัว รวมถึงการซื้อขายกองทุน ETF ด้วย
นักลงทุนรายย่อยจากฝั่งเอเชียกับนักเทรดช่วงกลางคืนในสหรัฐฯ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างกิจกรรมการซื้อ-ขายหุ้น โดยหุ้น Blue Ocean มีปริมาณการซื้อ-ขายประมาณร้อยละ 70 ที่มาจากเอเชีย ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโบรกเกอร์ที่ตั้งอยู่ในฮ่องกงและเกาหลีใต้
ทางด้าน สตีฟ แซนเดอร์ส หัวหน้าฝ่ายการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ Interactive Brokers เผยว่า บัญชีซื้อ-ขายของบริษัทที่เปิดใหม่มากกว่า 80% อยู่นอกสหรัฐอเมริกา ความสนใจของลูกค้าที่มาจากประเทศอื่นๆ เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้โบรกเกอร์สหรัฐฯ ต้องการขยายธุรกิจไปต่างประเทศมากขึ้น
ขณะที่ความสนใจแบบข้ามคืน (Overnight) ของนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่กิจกรรมการซื้อ-ขายของสถาบันการเงินกลับค่อนข้างเงียบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้อจำกัดในเรื่องความลึกของตลาด ซึ่งก็คือความสามารถในการรักษาคำสั่งซื้อที่ใหญ่ขึ้นอย่างมากโดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคาตลาดของหลักทรัพย์ นอกจากนี้ปัญหาเรื่องเครดิตและการสนับสนุนด้านเทคนิคยังมีผลต่อการซื้อ-ขายของสถาบันการเงินอีกด้วย
นักวิเคราะห์บางรายมองว่า การซื้อ-ขายแบบข้ามคืนยังเร็วเกินไปสำหรับสหรัฐฯ ทุกวันนี้ปัญหาสภาพคล่องยังคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับการซื้อ-ขายของสถาบันการเงินอยู่ แม้ว่าการซื้อ-ขายแบบข้ามคืนจะเป็นผลดีต่อตลาด แต่ก็ยังคงเป็นเพียงตลาดสำหรับรายย่อยเท่านั้น
การลงทุนในตลาดหุ้นมีความเสี่ยงและความผันผวน นักลงทุนจึงควรกระจายความเสี่ยง ศึกษาหาข้อมูล และวางแผนในการลงทุนด้วยความรอบคอบ บทความนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น
อ้างอิง: