และตรงตามชื่อคอนเสิร์ต ‘Jake Bugg Solo Acoustic Tour’ เพราะนี่คือการโชว์อะคูสติกโดยมีเขาคนเดียวบนเวที กับกีตาร์สองตัว ไฟสิบกว่าดวง และน้ำสามแก้ว!
สายฝนในฤดูร้อนยังคงตกไม่หยุดหลายวันติดต่อกัน พร้อมๆ กับการเดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตแรกในเมืองไทย ‘Jake Bugg Solo Acoustic Tour Live in Bangkok 2018’ แล้วยังเลือกโชว์ที่โรงภาพยนตร์สกาลา พื้นที่ประวัติศาสตร์อีกแห่งของกรุงเทพมหานครที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
เริ่มโชว์ตรงเวลาที่หนึ่งทุ่มตรง เจค บักก์ เดินขึ้นมาบนเวทีง่ายๆ สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ดำ พร้อมลิสต์เพลงที่จะเล่นคืนนี้ เวทีมีฉากหลังเป็นม่านโรงหนัง จัดไฟไว้เพียงอย่างเดียว ไม่มีจอฉายภาพใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ต้องพูดอะไรมากมาย เจคก็เริ่มเล่นเพลงแรก How Soon The Dawn ตามด้วย Saffron, Strange Creatures, Slide คั่นด้วยการทักทายเล็กๆ น้อยๆ พร้อมกับมุกน่ารักๆ ของผู้ชายพูดน้อยที่คอยเช็กคนดูเป็นระยะว่า “โอเคนะ ผมเล่นพอได้ไหม” ซึ่งกลับทำให้เห็นความเป็นกันเองจนเหล่าคนดูส่งเสียงเชียร์ตอบกลับ จากนั้นตามมาด้วย Hearts That Strain และ Simple As This เพลงประกอบภาพยนตร์ The Fault in Our Stars ที่หลายคนรู้จักกันดี
ฝีมือการเล่นกีตาร์ของเขาต้องบอกว่าไม่ธรรมดา ชนิดที่คลิปแสดงสดที่เคยดูมาทั้งหมดยังห่างไกลของจริงที่ได้เห็นได้ฟังตรงหน้า เพลงจากทั้ง 4 อัลบั้มที่เขาแต่งเอง ร้องเอง เล่นเอง ยิ่งช่วยให้การแสดงเต็มไปด้วยพลัง เสียงร้องไม่มีตก กีตาร์ที่พรมนิ้วลงบนสายราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย จังหวะจะรุนแรง จังหวะจะผ่อนให้นุ่มนวลหมองเศร้า เขาทำได้ยอดเยี่ยมมาก และแม้ว่าจะเป็นโซโลอะคูสติก แต่เจคกลับทำให้คนดูตรึงอยู่กับการแสดงได้ตลอดเวลา 90 นาที ทั้งยังทำให้เรานึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ดูคอนเสิร์ตแบบนี้นานแล้ว คอนเสิร์ตที่เรียบง่าย แต่ทรงพลังอย่างที่สุด
กลางคอนเสิร์ต เจคเริ่มเล่นเพลงตามคำขอ แฟนๆ ตะโกนเพลงอะไรไป เขาก็เล่นให้ฟัง เรียกว่าเอาใจแฟนเพลงชาวไทยกันสุดๆ อย่างเช่น Someone Told Me, Country Song ช่วงนี้มีหลายเพลงที่เพราะมากๆ ไม่ว่าจะเป็น Trouble Town เพลงที่พูดถึงบ้านเกิดเมืองน็อตติงแฮม, A Song About Love เพลงเพราะที่สุดของเขาจากอัลบั้ม Shangri La, Southern Rain ในเวอร์ชันที่เล่นยาวกว่าปกติ และ Indigo Blue เพลงเพราะในอัลบั้มล่าสุด จบด้วย Broken เพลงเศร้าหัวใจสลายที่เขาเล่าบนเวทีว่าแต่งเป็นเพลงแรก
ช่วงท้ายของคอนเสิร์ต เจคชวนให้ทุกคนในฮอลล์ยืนขึ้นแล้วบอกว่าตัวเขาเองก็จะยืนเหมือนกัน บรรยากาศเปลี่ยนเป็นช่วงพีกของโชว์ เจคส่งท้ายด้วยเพลงจังหวะเร็วๆ ที่เราคุ้นหูกันอย่าง Seen It All ต่อด้วย Two Fingers คั่นด้วย Waiting เพลงคู่ที่เขาร้องคนเดียว และ Folsom Prison Blues เพลงคัฟเวอร์ของจอห์นนี แคช แล้วขอบคุณแฟนเพลงชาวไทยอีกครั้ง ก่อนจะจบคอนเสิร์ตด้วยเพลงจากอัลบั้มแรก Lightning Bolt ที่คนร้องตามกันดังทั้งฮอลล์
จบคอนเสิร์ตแล้ว เจคเดินมาจับมือแฟนๆ ด้านหน้าเวทีอย่างเป็นกันเองก่อนจะหายเข้าไปหลังม่าน นักร้องนักดนตรีจากเมืองน็อตติงแฮมที่ทำให้เราเข้าใจว่าการแสดงสดที่ดีคือการส่งพลังที่แตกต่างมากมายกว่าการฟังเพลงผ่านแอปพลิเคชันใดๆ และมันจะเป็นความทรงจำที่เราจะเก็บไว้ไปอีกนาน
เจค บักก์ หรือชื่อเต็ม เจค เอ็ดวิน ชาร์ลส์ เคนเนดี นักดนตรี นักร้อง นักแต่งเพลงจากอังกฤษ เกิดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1994 เขาเติบโตมาในครอบครัวนักดนตรีที่แม้ว่าพ่อแม่จะแยกทางกัน แต่ในแง่ดนตรี เขาซึมซับเสียงเพลงที่ได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก เจคเริ่มเล่นกีตาร์ตั้งแต่อายุ 12 ปี และเริ่มแต่งเพลงเองตอนอายุ 14 ปี พออายุ 18 ปีก็ได้เซ็นสัญญาออกอัลบั้มแรก Jake Bugg (2012) ที่พุ่งขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ต UK Albums
แนวทางดนตรีเรโทรโฟล์กของเขาทำให้นึกถึงศิลปินหลายคนตั้งแต่ The Beatles, โดโนแวน, จอห์นนี แคช, โรเบิร์ต จอห์นสัน, จอร์จ แฮร์ริสัน รวมถึงบ็อบ ดีแลน ที่เขาได้รับฉายาว่าเป็น ‘The New Dylan’ เจคเคยให้สัมภาษณ์ไว้ตั้งแต่ออกอัลบั้มแรกว่าเขาไม่ได้คิดว่าจะเป็นใคร แต่ทุกสิ่งที่เป็นประสบการณ์ในชีวิตทำให้เพลงของเขาออกมาเป็นแบบนี้
เจค บักก์ มีผลงานสตูดิโออัลบั้ม 4 ชุด Jake Bugg (2012), Shangri La (2013), On My One (2016) และอัลบั้มล่าสุด Hearts That Strain (2017) ที่มีเพลงเพราะมากมาย ฟังนุ่มละมุนด้วยอะคูสติกกีตาร์ที่มากกว่าทุกอัลบั้มก่อนหน้า
สำหรับแฟนเพลง เจคได้ให้คำสัญญาในโชว์เมื่อคืนนี้ว่าเขาจะกลับมาเล่นคอนเสิร์ตที่เมืองไทยอีกแน่นอน แต่ตอนนี้ขอไปทำอัลบั้มใหม่ให้มีเพลงมาเล่นให้ฟังเยอะกว่านี้ก่อน
Photo: BEC-Tero Entertainment
อ้างอิง: