กกร. ประมาณการ GDP เศรษฐกิจไทยปีหน้า 2567 เติบโต 2.8-3.3% ภายใต้การขับเคลื่อนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 5 แสนล้านบาท เชื่อจะมีส่วนดัน GDP เพิ่ม 1-1.5% ชี้เศรษฐกิจไทยยังคงเปราะบาง และมีความเสี่ยงที่จะโตต่ำกว่า 3% เหตุโลก Recession และปัจจัยภายในฉุดรั้ง ส่วนปัจจัยบวกความหวังอยู่ที่ภาคท่องเที่ยว
สนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร. ประจำเดือน ธันวาคม 2566 ได้พิจารณากรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 ของไทยโดยอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) คาดว่าจะเติบโต 2.8-3.3% การส่งออก 2-3% เงินเฟ้อ 1.7-2.2% จากปี 2566 ที่คาดว่า GDP จะอยู่ที่ 2.5-3% ส่งออก -2 ถึง -1% เงินเฟ้อ 1.3-1.7%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
อย่างไรก็ตาม GDP ปี 2567 ยังคงมีความเสี่ยงที่จะโตต่ำกว่า 3% ซึ่งเป็นปีที่ 6 ติดต่อกันจากปัจจัยเผชิญทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและปัจจัยความเปราะบางในประเทศ เช่น หนี้ครัวเรือน หนี้ของภาคธุรกิจโดยเฉพาะ SMEs
นอกจากนี้ยังมีผลกระทบต่อการเข้าถึงสินเชื่อในระบบจากการเริ่มใช้มาตรการการปล่อยสินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เน้นวินัยการไม่สร้างหนี้เกินกำลัง รวมถึงการกลับมาจัดชั้นคุณภาพหนี้ตามปกติหลังยุคโควิด และยังท้าทายจากศักยภาพการเติบโตของประเทศที่ลดลง การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกเพื่อรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขัน
“ส่วนปัจจัยบวกปี 2567 ได้แก่ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว 33 ล้านคน เพิ่มอีก 5 ล้านคนจากปี 2566”
เศรษฐกิจไทยปี 2566 โตต่ำกว่าที่คาด ห่วงปีหน้า เศรษฐกิจโลก Recession
สนั่นกล่าวอีกว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตได้ต่ำกว่าที่คาดการณ์ โดย 9 เดือนแรกเติบโตได้เพียง 1.9%โดยเฉพาะส่งออกยังชะลอตัว และนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่าที่คาดไว้
ขณะที่เศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้ม Recession ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะสหรัฐฯ และยุโรป เศรษฐกิจเอเชียไม่รวมจีน น่าจะขยายตัวได้ดี ทำให้การส่งออกไทยน่าจะกลับมาดีได้ แต่เศรษฐกิจภายในเองก็เปราะบางเช่นกัน สนั่นกล่าว
“ปีหน้ามีหลายปัจจัยแปรผันที่กระทบต่อเศรษฐกิจ ประเทศไทยจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ รัฐควรเน้นเจรจา FTA ดึงดูดการลงทุนในยุค Decoupling การดูแลต้นทุนค่าไฟ เตรียมความพร้อมด้านกำลังคน รวมถึงดึงดูดแรงงานต่างด้าวที่มีทักษะสูง เร่งแก้หนี้ครัวเรือนที่พบว่าหนี้เสีย (NPL) ในระบบธนาคารพาณิชย์ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากทุกโปรดักต์และสินเชื่อรถยนต์ที่อยู่ใน Stage 2 สูงราว 15%”
ยกระดับภาคการเงิน เร่งแก้หนี้นอกระบบ
ด้าน ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจปี 2567 ที่ กกร. ประมาณการณ์ที่ GDP จะโต 2.8-3.3% นั้นประเมินภายใต้นโยบายรัฐบาลจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเงินดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) ดำเนินการได้เต็มวงเงิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งจะมีส่วนช่วยเพิ่มการเติบโตของ GDP ราว 1-1.5%
ผยงกล่าวถึง สถานการณ์ภาคการเงินจากนี้จะต้องมุ่งเน้นไปที่เรื่องขีดความสามารถทางการแข่งขัน สามารถเป็นกลไกให้ภาคการผลิต ภาคบริการ และแรงงานต่างๆ สามารถที่จะมีศักยภาพทางการแข่งขันได้
“จุดสำคัญที่ต้องเร่งแก้ คือเรื่องหนี้นอกระบบ ซึ่งตอนนี้มีการประเมินด้วยวิธีการแบบการคลัง ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยการนำเรื่องข้อกฎหมายมาบังคับใช้ เพื่อนำไปสู่ข้อมูลที่จะได้เห็นตรงกันมากขึ้นทั้งระบบ เมื่อสามารถทำข้อมูลได้แล้ว รัฐบาลต้องไปดำเนินการต่อว่าจะสามารถเชื่อมโยงหนี้นอกระบบกับกลไกเศรษฐกิจ ให้หนี้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบได้ยั่งยืนได้อย่างไรต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่เราอยากเห็นความชัดเจน” ผยงกล่าว
ส่วนอีกจุดที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน เอกชนอยากจะเน้นย้ำให้รัฐเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน หมดยุคของดอกเบี้ยต่ำ ตอนนี้อาจจะสูงไป หรืออาจมีแนวโน้มลดลงนิดหน่อย แต่ไม่กลับไปเท่าเดิมแล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้องทำตามมาคือเรื่องการยกระดับกลไกของการแข่งขันไปพร้อมๆ กัน