ท่ามกลางคอนเสิร์ตต่างประเทศจากศิลปินเบอร์เล็กเบอร์ใหญ่ที่เดินทางมากันอย่างไม่หยุด วง The Script จากประเทศไอร์แลนด์ก็เป็นอีกหนึ่งวงที่แฟนเพลงต่างชื่นชมและคุ้นเคยกับบทเพลงสไตล์ป๊อปที่มาพร้อมเนื้อหาให้กำลังใจและมองโลกในแง่ดี
ล่าสุดทางวงได้กลับมาเล่นคอนเสิร์ตอีกครั้งกับ The Script Live In Bangkok 2018: Freedom Child Tour ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี เพื่อโปรโมต Freedom Child ผลงานอัลบั้มชุดที่ 5 ที่ปล่อยออกมาเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว แถมแฟนคลับหลายพันคนก็ต่างเฝ้ารอการกลับมาของวงนี้ หลังไม่ได้มาเปิดคอนเสิร์ตที่บ้านเรานานถึง 3 ปี เพราะนักร้องนำของวง แดนนี โอ โดโนฮิว ต้องไปผ่าตัดเส้นเสียง แต่ก็ต้องบอกว่า The Script ไม่ทำให้ผิดหวัง และมากไปกว่าความสนุกรวมถึงบทเพลงที่ร้องตามกันได้ตลอดทั้งโชว์ พวกเขามีความเป็นกันเองและติดดินชนิดที่ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมความนิยมยังคงเหนียวแน่นกับกลุ่มแฟนคลับที่มีชื่อเรียกกันว่า The Script Family
ตลอดกว่า 90 นาทีของคอนเสิร์ตในครั้งนี้ The Script ขนเพลงมามากมาย เปิดด้วยเพลงฮิต Superheroes จากอัลบั้มชุดที่สี่ No Sound Without Silence ก่อนจะต่อด้วยเพลง Rock The World จากอัลบั้มล่าสุด และเพลง Paint The Town Green ที่ทางวงสร้างเซอร์ไพรส์แรกของคอนเสิร์ตด้วยการเชิญคณะการแสดงองศาศิลป์ของประเทศไทยมาร่วมแสดงบนเวที ซึ่งทางวงบอกว่าในทุกประเทศที่ไปเล่น พวกเขาอยากแทรกเรื่องวัฒนธรรมของแต่ละชาติเข้าไปในโชว์
จากนั้นเราก็ได้ฟังหลายเพลงคลาสสิกของวง ทั้ง For The First Time, Arms Open, The Man Who Can’t Be Moved, If You Could See Me Now และ Breakeven ที่พวกเขาเล่นตอนอังกอร์ช่วงท้ายกับอีก 2 เพลง No Good In Goodbye และ Hall of Fame ที่ทางวงให้ทุกคนช่วยตะโกน ‘I Can’ ก่อนเข้าเพลง เพื่อตอกย้ำความคิดของเพลงที่ว่า คนเราไม่ควรพ่ายแพ้กับความฝันที่ตนเองมี แม้อุปสรรคจะยากเย็นเพียงใด
แต่ไฮไลต์ของคอนเสิร์ตที่ทำให้คนดูแตกตื่นจนต้องรีบหยิบมือถือถ่ายรูปและวิดีโอรัวๆ ก็คือช่วงที่วงตัดสินใจเล่น 2 เพลง If You Ever Come Back และ Never Seen Anything บนชั้นลอยของอิมแพ็ค อารีน่า ท่ามกลางคนดูอย่างใกล้ชิดอบอุ่น ซึ่งแทบไม่ค่อยได้เห็นวงอื่นๆ ลงทุนขนาดนี้
ถ้าให้พูดกันตามตรง The Script เป็นวงที่ไม่ได้มีความหวือหวาเชิงการเล่นดนตรีหรือเนื้อหาที่ซับซ้อน แต่เพลงของพวกเขาเน้นความเป็นป๊อปโดยพื้นฐานที่มีความหมายเข้าถึงง่ายแบบสากล (แดนนีเคยทำเพลงให้ศิลปินอย่างบริตนีย์ สเปียร์ส มาแล้ว) มีแง่คิดให้กำลังใจและให้คนสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตได้ ซึ่งนั่นคือจุดแข็งของวงนี้อย่างชัดเจน ไม่แปลกใจที่ทำไมบางคนถึงนำเพลงของพวกเขาไปเป็นซาวด์แทร็กประกอบชีวิตตัวเองมาตั้งแต่ปี 2008 ที่วงปล่อยอัลบั้มแรกชื่อ The Script
แต่คำถามที่เราต้องตอบในตอนจบคือมันจะเจ๋งขนาดไหน ถ้าเพลงของพวกเขาที่แม้จะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากแล้วจะสามารถไปไกลกว่านี้ กว้างขวางกว่านี้ ในยุคสมัยที่โลกเรากำลังแปรปรวนพร้อมความขัดแย้งมากมาย เพราะบางครั้งเพลงที่มีการให้กำลังใจของวงก็อาจช่วยเปลี่ยนความคิดของคนไม่มากก็น้อย เพราะดนตรีมีพลังเพียงพอที่จะขับเคลื่อนสังคมได้อย่างแน่นอน
Photo: Bec-Tero Entertainment