วันนี้ (22 พฤศจิกายน) ชัยชนะ เดชเดโช สส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในที่ประชุม สส. พรรคเพื่อไทย ในการขอตำแหน่งผู้กำกับในส่วนของกรรมาธิการตำรวจจะเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงหรือไม่ว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 185 (3) บัญญัติว่า สส. และ สว. ห้ามมีส่วนได้เสียและเกี่ยวข้องในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ
ซึ่งตามที่นายกรัฐมนตรีกล่าวในที่ประชุมพรรคเพื่อไทยว่า มีคนขอตัดแต่งผู้กำกับเข้ามาเยอะ โดยมีทั้งคนผิดหวังและสมหวัง ตนคิดว่าหากเรื่องนี้เป็นจริงตามนายกรัฐมนตรีพูด นายกรัฐมนตรีต้องบอกได้ว่า สส. คนไหนมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะหากขัดรัฐธรรมนูญอาจต้องพ้นจากตำแหน่ง สส.
เชิญนายกฯ แจงปมขอตำแหน่งผู้กำกับ 7 ธันวาคมนี้
“คณะกรรมาธิการจะเชิญนายกรัฐมนตรีเข้าให้ข้อมูลในสิ่งที่กล่าวว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร โดยมั่นใจว่า สส. ทั้ง 500 คนยึดหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่แทรกแซงในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ” ชัยชนะกล่าว
เมื่อถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่พรรคเพื่อไทยเป็นการเน้นย้ำว่าตั๋วตำรวจยังมีอยู่หรือไม่ ชัยชนะกล่าวว่า จะไปวิจารณ์ว่ามีตั๋วตำรวจหรือไม่ไม่ได้ แต่ต้องสอบถามนายกรัฐมนตรีถึงสิ่งที่พูดว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร นายกรัฐมนตรีมีเจตนาใด หรือการพูดของนายกรัฐมนตรีเป็นคำกลอนพาไปพ่วงต่อกับเรื่องอื่นๆ ที่พูดก่อนหน้า โดยคณะกรรมาธิการเตรียมเชิญนายกรัฐมนตรีเข้าชี้แจงในวันที่ 7 ธันวาคมนี้
หากมีข้อมูล เตรียมนำมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ส่วนจะนำเรื่องนี้ไปอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อหรือไม่ ชัยชนะกล่าวว่า ต้องดูข้อเท็จจริง หากมีหลักฐานจริงก็นำสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจได้
ชี้แจงปมขอแต่งตั้งโยกย้ายผู้กำกับตำรวจ
ขณะเดียวกัน เศรษฐา ทวีสิน ได้ชี้แจงถึงกรณีการพูดกลางวงประชุม สส. พรรคเพื่อไทย เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับผู้กำกับว่า ไม่ใช่เรื่องอะไร และทางตนไม่มีอำนาจและไม่เคยแทรกแซงหรือก้าวก่ายการแต่งตั้งข้าราชการหรือข้าราชการตำรวจเลย เพราะเป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จะพิจารณาตามผลงาน แต่ก็อย่างที่ทราบกันดีว่า สส. เป็นตัวแทนของประชาชน และประชาชนก็ได้มาพูดคุยกันเรื่องปัญหายาเสพติดที่เรื้อรังมานาน และอาจไม่สบายใจกับทางเจ้าหน้าที่ ซึ่ง สส. ก็ได้ยืนยันด้วย
ยืนยันไม่เคยก้าวก่ายหรือสั่งการ ชี้ไม่ใช้อำนาจ
“ผมยืนยันว่า สส. ไม่ได้มาขอ เราพูดเรื่องความ ไม่ได้พูดเรื่องคน ความนี่คือการมีปัญหาในพื้นที่ เราเองก็มาพูดในตรงนี้มากกว่า โดยเอาเรื่องความเป็นหลัก ผมยืนยันว่าผมไม่เคยไปก้าวก่ายหรือว่าไปสั่งการกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการแต่งตั้งผู้กำกับจริงๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจของผมด้วย” เศรษฐากล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า จะต้องกำชับ สส. อย่างไร เพราะนายกรัฐมนตรีเคยให้นโยบายไม่อยากให้มีการวิ่งเต้นตำแหน่ง เศรษฐาระบุว่า ตนว่า สส. ทราบหน้าที่ของตัวเองดีอยู่แล้ว ไม่ได้มีประเด็นตรงนี้
เมื่อถามย้ำอีกครั้งว่า ที่พูดในวง สส. พรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า มีทั้งคนสมหวังและผิดหวัง และขอมาเยอะเหลือเกินนั้น เศรษฐาชี้แจงว่า ที่ว่ามีคนผิดหวังและสมหวังหมายความว่า เขาบอกว่าเจ้าหน้าที่อาจทำงานไม่ดีตรงนี้ พร้อมยกตัวอย่างว่า สมมติว่าหากเขาทำงานไม่ดีตนก็ไม่สามารถสั่งย้ายได้อยู่ดี เพียงแต่บอกว่าปัญหาอยู่ในพื้นที่โซนไหน อาทิ เรื่องยาเสพติด ตนก็ได้ไปกำชับให้ดูแล และหากคนที่อยู่ในพื้นที่ทำเหมาะสมแล้วก็อยู่ต่อไป พร้อมย้ำว่า ประเด็นดังกล่าวเป็นการพูดเรื่องความไม่ใช่เรื่องคน ซึ่งยืนยันมาตลอด
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะผิดกฎหมายและรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ตนไม่เคยไปก้าวก่ายและสั่งการ รวมถึงทาง สส. ก็ไม่เคยมาขอตำแหน่ง
ผิดทั้งรัฐธรรมนูญ จริยธรรมนักการเมือง และ พ.ร.บ.ตำรวจ
ในส่วนของพรรคฝ่ายค้าน รังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แสดงความเห็นต่อกรณีนี้ว่า เรื่องตั๋วตำรวจที่นายกรัฐมนตรีพูดออกมาในทำนองว่า มี สส. พรรคเพื่อไทย ฝากกันมาเยอะ เป็นเรื่องที่ผิดทั้งรัฐธรรมนูญ ผิดจริยธรรมนักการเมือง และมีความผิดตาม พ.ร.บ.ตำรวจ เหตุใดเป็นถึงนายกรัฐมนตรีกลับทำเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ ทั้งๆ ที่เป็นการใช้เส้นสายและผิดกฎหมาย ยังไม่นับว่าตำรวจอีกมากที่ไม่ใช้เส้นสายจะช้ำใจและเสียใจมากขนาดไหน ครอบครัวของเขาอีกหลายคนที่ได้รับผลกระทบ
“รัฐบาลนี้เริ่มต้นไม่ทันไรก็ทำให้ระบบเส้นสายเติบโตเสียแล้ว ไม่แปลกที่เราถึงได้เห็นองค์กรตำรวจเป็นแบบนี้ นี่ใช่ไหมถึงไม่อยากใช้คำว่าปฏิรูป นี่ใช่ไหมถึงไม่กล้ามาตอบกระทู้ในสภา น่าผิดหวังมาก ผิดหวังแทนตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่มีเส้นสาย” รังสิมันต์กล่าว
จี้อย่าหนีการตรวจสอบ เอาความจริงมาพูดว่าใครบ้างได้ตั๋ว สร.1
รังสิมันต์กล่าวต่ออีกว่า เรื่องนี้จะต้องตรวจสอบกันอย่างแน่นอน นายกรัฐมนตรีอย่าได้หนีการตรวจสอบ และเอาความจริงมาพูดว่าตกลงฝากใครไปบ้าง ผู้กำกับคนไหนได้ตั๋ว สร.1 หรือตั๋วนายกฯ หรือตั๋วเพื่อไทย และตนขอเรียกร้องไปยังพี่น้องตำรวจให้ช่วยกันส่งเรื่องนี้มาให้ ยืนยันว่าจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้นิ่งเงียบเด็ดขาด
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ช่วงปลายเดือนกันยายน ซึ่งกำลังมีการคัดเลือก ผบ.ตร. คนใหม่ เกิดข่าวคราวความไม่โปร่งใสในวงการตำรวจเป็นจำนวนมาก มีเสียงสะท้อนจากประชาชนต้องการให้เกิดการสังคายนาตำรวจอย่างจริงจัง แต่ ณ เวลานั้น เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กลับบอกว่าไม่ควรใช้คำว่าสังคายนา เพราะตำรวจเป็นองค์กรที่มีเกียรติ
ตำรวจอย่าลดเกียรติ ขอให้ทำงานอย่างตรงไปตรงมา
ขณะที่รังสิมันต์เห็นว่า การสังคายนาตำรวจมีความจำเป็นมาก ไม่ใช่การลดเกียรติตำรวจ แต่เป็นการทำให้ตำรวจที่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาสามารถทำหน้าที่อย่างมีศักดิ์ศรีได้ มีที่อยู่ที่ยืนในองค์กรตำรวจได้ ประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อองค์กรตำรวจ การปล่อยสถานการณ์ไว้เป็นแบบปัจจุบันมีแต่จะทำให้องค์กรตำรวจถูกกลืนกินด้วยอำนาจมืด
ผู้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบใดๆ ต่อความล้มเหลวในการปฏิรูปตำรวจได้เลย
เรียกร้องให้นายกฯ ปฏิรูปตำรวจอย่างจริงจัง
รังสิมันต์กล่าวต่อมา ขอเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีให้เร่งปฏิรูปตำรวจอย่างจริงจัง และในอนาคตเมื่อมีการเลือก ผบ.ตร. อีกครั้ง ก็ควรใช้วิธีดังต่อไปนี้ โดยอาศัย พ.ร.บ.ตำรวจปัจจุบัน เพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี
- รอง ผบ.ตร. ที่ประสงค์จะเป็น ผบ.ตร. ให้ยื่นความจำนงต่อกรรมการที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้น พร้อมพอร์ตโฟลิโอผลงานต่างๆ
- ให้มีการแสดงวิสัยทัศน์สาธารณะ เพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่าคุณมีวิสัยทัศน์อะไร ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าที่จะเป็น ผบ.ตร. มีแผนพัฒนาตำรวจอย่างไร โดยเฉพาะภายใต้กรอบระยะเวลาที่ตนเองเหลืออยู่
- ทำแพลตฟอร์มออนไลน์ให้พี่น้องตำรวจสามารถลงทะเบียนเพื่อโหวตเลือก ผบ.ตร. ได้ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีทราบว่าตำรวจส่วนใหญ่อยากให้ใครเป็น ผบ.ตร. โดยแพลตฟอร์มจะไม่สามารถระบุตัวตนตำรวจที่โหวต รู้แค่ว่าเป็นตำรวจ ซึ่งสามารถทำได้ในปัจจุบัน
ทั้ง 3 ข้อนี้จะนำไปสู่การติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูกต้อง ให้ ผบ.ตร. รวมถึงตำรวจทุกตำแหน่ง ไม่ได้มาจากเส้นสาย ไม่ได้มาจากตั๋ว ไม่ได้มาจากการซื้อ เพื่อปูทางสู่การสร้างตำรวจที่จะต่อสู้กับอำนาจมืดทุกรูปแบบ
อ้างอิง: