สืบเนื่องจากวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แหล่งข่าวใกล้ชิดของ น.ต. ศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกฯ และสมาชิกพรรคไทยสร้างไทย ได้แจ้งว่า น.ต. ศิธาได้ยื่นใบลาออกกับนายทะเบียนพรรคเป็นที่เรียบร้อย สร้างความประหลาดใจและสงสัยกับประชาชนที่ติดตามข่าวสารเป็นอย่างยิ่ง ว่าเกิดอะไรขึ้นกับการตัดสินใจในครั้งนี้
ดังนั้น เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน รายการ THE STANDARD NOW ดำเนินรายการโดย อ๊อฟ-ชัยนนท์ หาญคีรีรัตน์ สัมภาษณ์ น.ต. ศิธา ทิวารี หลังประกาศลาออกจากพรรคไทยสร้างไทย เปิดใจอย่างเป็นทางการที่แรก ถึงสาเหตุในการลาออก อนาคตบนเส้นทางการเมืองจากนี้ และนิยามตัวตนที่แท้จริงของ ‘แด๊ดดี้ปุ่น’
เกิดอะไรขึ้นถึงได้ลาออก
“จริงๆ แล้วไม่ได้มีอะไรเลย คนอาจเข้าใจว่าการเมืองจะมีนัยแอบแฝงบางอย่างถึงได้ตัดสินใจลาออก แต่ผมมองว่าอยู่ตรงนี้ทำประโยชน์ได้แค่ไหน ได้เข้าสภาหรือไม่ ฉะนั้น เมื่อตนออกจากสมาชิกพรรค จะสบายใจมากขึ้นในการแสดงความคิดเห็นและพูดคุยกับทุกฝ่าย” น.ต. ศิธาเปิดใจช่วงแรกกับเหตุการณ์ลาออกในครั้งนี้
น.ต. ศิธายืนยันว่า ไม่ได้มีปัญหากับคนในพรรค 100% แต่ถ้า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยอยู่ประเทศไทยในช่วงเวลานั้น (วันที่ศิธายื่นหนังสือลาออกจากพรรคคือวันที่ 27 ตุลาคม 2566 ซึ่งขณะนั้นคุณหญิงสุดารัตน์อยู่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา) ตนคงไม่ได้ลาออกแน่นอน
น.ต. ศิธากล่าวว่า เริ่มมีสัญญาณบางอย่างตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง 2566 ว่าอาจลาออกจากพรรค เนื่องจากประเมินจำนวน สส. บัญชีรายชื่อที่พรรคจะได้ตำแหน่งคงมีน้อย ถึงได้ตัดสินใจว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็คงเดินออกจากพรรค
ได้พูดคุยอะไรกับคุณหญิงสุดารัตน์
น.ต. ศิธากล่าวว่า ได้พูดคุยหลังจากที่ตนยื่นใบลาออกกับนายทะเบียนพรรค โดยแจงเหตุผลว่าอยากมีสถานะเป็นประชาชนที่สามารถแสดงออกทางความคิดเห็นได้ รวมถึงเรื่องงานอื่นๆ ที่กำลังเข้ามา ซึ่งตนไม่ได้มีปัญหาอะไรกับคุณหญิงสุดารัตน์ และเพิ่งรับประทานอาหารร่วมกันเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
อนาคตบนเส้นทางเมืองจากนี้
“ผมคิดว่าจะออกจากการเมืองไปเลยคงไม่ได้ ในเมื่อเราคือประชาชนที่เข้าใจทหาร ประชาชนที่เข้าใจการเมือง ประชาชนที่รู้ประโยชน์แอบแฝงของการเมือง ทำไมเราไม่ใช้ตรงนี้ให้เกิดประโยชน์ คงพ้นการเมืองไปไม่ได้ แต่จะออกหน้าหรืออยู่เบื้องหลังคงต้องรอดู ขอลดลงไปทำงานที่ขนาดเล็กกว่าเพื่อให้ตนยังมีคุณค่าอยู่” น.ต. ศิธาเริ่มบทสนทนาแรกในคำถามนี้
น.ต. ศิธาระบุว่า หากเปรียบชีวิตและอนาคตการเมืองของตนก็คงเหมือนการขี่มอเตอร์ไซค์ที่มีโอกาสทำและหยุดพักได้ตลอดเวลา ไม่ต่างอะไรกับชีวิตการเมืองของตนที่ 1-2 ปีจากนี้ต้องการพักผ่อนก่อน หากอนาคตจะกลับมาอีกครั้งก็ค่อยว่ากันใหม่
“ชีวิตผมเหมือนขี่มอเตอร์ไซค์ แล้วผมต้องเดินไป 1-2 ปี แล้วจะใส่หมวกกันน็อกตลอดเวลาทำไม ผมก็ถอดวาง แต่ถ้ามีคนถามว่าจะกลับเข้ามาการเมือง ผมก็เหมือนกลับมาขี่มอเตอร์ไซค์อีกครั้ง ต้องทำใบขับขี่ให้เรียบร้อย แล้วค่อยใส่หมวกไปขี่ อย่างนี้มันก็ได้”
ศิธา ทิวารี จะไปพรรคการเมืองใด?
“จริงๆ มีหลายพรรคที่มาพูดคุย พรรค 2 ลุง (พลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติ) ก็มาทาบทามตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง แต่อุดมการณ์มันเข้ากันไม่ได้ หรือก่อนหน้านั้นที่เพื่อไทยยังไม่รวมกับขั้วเก่า โอกาสที่เป็นเพื่อไทยค่อนข้างสูงที่จะกลับไป แต่โดยจุดยืนตอนนี้มันไปไม่ได้” น.ต. ศิธากล่าว
น.ต. ศิธาขยายความว่า หากพรรคเพื่อไทยต้องการให้ตนกลับไป แต่การบริหารยังคงเหมือนกับผู้บริหารคนก่อน ก็คงไม่เหมาะสม ไม่ใช่ตัวตน และตนทำได้ไม่ดีพอ
“ผมพูดกับประชาชนว่าผมจะไม่รวมกับพรรค 2 ลุง แล้วจะบอกว่าพูดไปอย่างนั้นดีแล้ว ต่อไปเราจะรวม ผมทำไม่ได้” น.ต. ศิธากล่าวเพิ่ม
ส่วนพรรคก้าวไกล น.ต. ศิธาเผยว่า ไม่เคยมีความขัดแย้งกับก้าวไกล แต่ถ้าจะไปสมัครเข้าร่วมทันทีอาจทำไม่ได้ คงต้องพูดคุยว่าพรรคจะทำอะไร จะเดินหน้าไปอย่างไร
“ณ เวลานี้ ไทยสร้างไทย ก้าวไกล เป็นธรรม ถ้าเกิดมีอะไรให้ผมช่วย ผมยินดีช่วยในเรื่องที่ผมถนัดและมองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ขณะเดียวกัน ถ้าไทยสร้างไทยทำอะไรที่ไม่ใช่ ผมพูดได้นะ” น.ต. ศิธาระบุเพิ่ม
“ผมสามารถช่วยให้กองทัพกับประชาชนเข้าใจมากยิ่งขึ้น”
ศิธาระบุว่า สิ่งที่ตนอยากทำมากที่สุดในตอนนี้คือ การเป็นคนกลางระหว่างการเมืองกับการทหารร่วมกันพัฒนาประเทศชาติเพื่อเดินไปข้างหน้าให้ได้ โดยเฉพาะเรื่องการเกณฑ์ทหาร
“ต้องทำอย่างไรให้คนรู้สึกว่าอยากให้ลูกเป็นทหาร ให้รู้สึกว่าทหารคือโอกาสของชีวิต มีหลายครอบครัวที่อยากให้ลูกมา อาจให้พ่อแม่คุยกับทหารว่าต้องการให้ลูกทำอะไร เช่น ช่างไม้ ซ่อมเครื่องยนต์ตามกรมต่างๆ อยากฝึกอาชีพอะไรที่เกี่ยวข้องกับทหารก็ทำ ไม่ได้สิ้นเปลืองงบประมาณอะไร” ศิธาระบุเพิ่ม
ศิธามองว่า การทำแบบนี้จะทำให้คนที่เข้ามาฝึกกลายเป็นทหารที่ดี นำไปสู่พลเมืองที่ดีของสังคม และการเป็นทหารจะได้อะไรมากกว่าที่คุณคิด
นายพลจะยอมเปลี่ยนตามแนวคิดของศิธา?
“ก็แล้วแต่มุมมอง แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมพูดและพูดคุยกับทหารนั้น เขาเข้าใจและเห็นพ้องต้องกัน ซึ่งความคิดนี้เริ่มต้นจากกองทัพด้วยซ้ำ” ศิธากล่าว
ศิธากล่าวอีกว่า ใครที่คิดว่าสิ่งที่ตนพูดทำยากก็คงจะตอบกลับไปว่า “ดีกว่าไม่มีใครคิด ไม่มีใครทำ” ซึ่งจริงๆ แล้ว นี่คือแนวทางที่ตนพยายามนำเสนอมาตลอดตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง 2566
ฉะนั้น การที่ใครบางคนไปกล่าวถึงพรรคการเมืองใดว่าล้มเจ้า ชังชาติ แปลว่าคุณไม่ได้ต้องการทำนุบำรุงชาติหรือรักษาสถาบันฯ ให้ดำรงคงไว้ แต่เป็นการส่งสัญญาณผิดๆ และทำให้คนรุ่นใหม่กับรุ่นเก่าห่างกัน แตกกันไปเรื่อยๆ เพราะตนเชื่อเสมอว่า คนไทยที่ชังชาติหรือเกลียดชาติตนเองมีไม่ถึง 0.001%
‘ทักษิณ’ มีอิทธิพลทางการเมืองกับศิธามากที่สุด
“ทักษิณให้ทุกอย่าง ให้วิธีคิด ให้การบริหารคน” น.ต. ศิธากล่าวถึง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มีอิทธิพลตลอดเส้นทางการเมืองของตนมากที่สุด
ทักษิณเป็นคนที่ตั้งใจฟังความคิดเห็นคนอื่นอย่างมาก เช่น หากไปคุยกับทักษิณ 3 ชั่วโมงแล้วเกิดประโยชน์ ทักษิณจะไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ตั้งใจฟังอย่างยิ่ง
“พอฟังหมด 3 ชั่วโมง ทักษิณพูดอะไรมาก็คือแก้ได้หมดทุกอย่าง เหมือนเส้นผมบังภูเขา แต่ถ้าพูดอะไรที่ไม่มีประโยชน์ ไม่เกิน 30 วินาทีทักษิณจะตัดบทไปเรื่องอื่นอย่างแนบเนียนทันที” น.ต. ศิธากล่าวเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างตนกับผู้บริหาร ทำให้ระยะห่างระหว่างทักษิณกับตนค่อยๆ ห่างมากขึ้น
นิยามตัวตนที่แท้จริงของ ‘แด๊ดดี้ปุ่น’
‘แด๊ดดี้ปุ่น’ คือนิยามที่ผู้สนับสนุน น.ต. ศิธาเรียกตลอดเวลา เสมือนเป็นคุณพ่อในฝัน เพราะมีทัศนคติที่ดีและดูแลร่างกายอยู่เสมอ
น.ต. ศิธากล่าวว่า ตัวตนที่แท้จริงเป็นคนใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่ได้โลดโผนแต่ผาดแผลงแบบศัพท์นักบิน จริงอยู่ที่ตนเคยเป็นอดีตนักบิน F-16 และนักแสดงละคร แต่ชีวิตของตนเป็นไปอย่างราบรื่น เพียงแต่อาจเป็นคนที่สนุกสนานกับสิ่งที่ได้ทำที่หลากหลาย
นอกจากนี้ น.ต. ศิธายังชอบร้องเพลงเป็นอย่างมาก โดยมีเพลงประจำที่ต้องร้องทุกครั้งในระหว่างการหาเสียงคือ ‘ใจสั่งมา’ ของ เสกสรรค์ ศุขพิมาย (เสกโลโซ)
อะไรคือความสุข-ทุกข์ของศิธา
“ผมมักจะพูดกับทุกคนตลอดเวลาว่า คนที่รวยที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่มีความสุขที่สุดในโลก ฉะนั้นทำอย่างไรก็ได้ให้มีความสุข หากเปรียบเทียบกับคนที่เหนือกว่าเราก็คือความทุกข์” น.ต. ศิธาเผยทัศนคติต่อความสุขและทุกข์ในชีวิตตน
น.ต. ศิธากล่าวว่า ไม่ค่อยสนใจความทุกข์ พยายามมองเรื่องรอบตัวให้มีความสุข แม้บางครั้งอาจเกิดความทุกข์บ้างแต่ก็จะมีวิธีดึงสติตนให้กลับมาคิดในแง่บวกอีกครั้ง ฉะนั้น พยายามหาอะไรทำแล้วมีความสุข
“ผมฝากให้อ่านหนังสือของพี่ตุ้ม หนุ่มเมืองจันท์ (สรกล อดุลยานนท์) ชื่อว่าโลกนี้ไม่มีอะไรไร้ค่า เพราะผมอ่านเล่มนี้แล้วมันช่วยได้จริง”
บทสรุปชีวิตวัย 58 ปี เหมือนเพลงธาตุทองซาวด์
“อีกี้มันเป็นสก๊อย ผู้ (พันปุ่น-ศิธา) พาไปสเกิร์ต”
น.ต. ศิธาเผยปิดท้ายบนชีวิตวัย 58 ปีว่า “หากเปรียบเทียบชีวิตตนเหมือนเพลงเพลงหนึ่งก็คงต้องเป็นเพลง ธาตุทองซาวด์ ของยังโอม (YOUNGOHM) เพราะ “ก่อนจะกลิ้งก็ต้องนิ่งมาก่อน”
น.ต. ศิธาที่เคยเป็นอดีตสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) เขตคลองเตย กล่าวเพิ่มว่า เพลงนี้คล้ายกับชีวิตของตนที่มีความแข็งแรงเหมือนกับเอาเหล็กงัด และที่ตั้งของวัดธาตุทองซึ่งเกี่ยวข้องกับเพลงนี้ยังอยู่บริเวณเขตคลองเตย รวมถึงสนใจในแนวเพลงฮิปฮอปจึงเลือกเพลงดังกล่าว