รู้หรือไม่ว่า การลงทุนสะสมไวน์ชั้นดีให้ผลตอบแทนถึง 16% เมื่อปี 2021 ครองอันดับหนึ่งของสะสมที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดควบคู่กับนาฬิกาหรู ตามรายงานของ Knight Frank และจากข้อมูลของ London International Vintners Exchange หรือ Liv-ex ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับตลาดไวน์ชั้นดี
ขณะที่ Liv-ex Fine Wine 100 ซึ่งติดตามไวน์ชั้นดีที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด 100 รายการทั่วโลก มีตัวเลขสรุปออกมาว่า สามารถให้ผลตอบแทนรวมย้อนหลัง 1 ปี ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2022 ที่ 22.2% ซึ่งดีกว่า S&P 500 ที่สร้างผลตอบแทน -5% ในช่วงเวลาเดียวกัน
ทั้งหมดนี้ทำให้การสะสมไวน์เป็นการลงทุนที่น่าสนใจ และด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันยังช่วยให้ข้อจำกัดต่างๆ ของการสะสมไวน์ลดลง ทำให้คนลงทุนในไวน์ได้ง่ายขึ้น
ไวน์เป็นแหล่งกระจายความเสี่ยงที่ดี เพราะให้ผลตอบแทนโดยมีความสัมพันธ์กับสินทรัพย์แบบเดิมเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีเลย อย่างไรก็ตาม สถิติตัวเลขเกิดจากการติดตามไวน์ชั้นดีเพียงจำนวนหนึ่ง ซึ่งการเลือกซื้อไวน์ก็ไม่ต่างจากการเลือกซื้อหุ้น เพราะไม่ใช่ไวน์ทุกขวดจะสร้างผลกำไร โดยต้องซื้อไวน์ให้มีความหลากหลาย หลีกเลี่ยงการให้น้ำหนักกับผู้ผลิตรายใดรายหนึ่งมากเกินไป รวมทั้งกำหนดเป้าหมายไว้ที่ไวน์เกรดการลงทุน ไม่ใช่ไวน์ราคาประหยัดที่หาซื้อได้ในซูเปอร์มาร์เก็ต
สิ่งที่ต้องคำนึงในการซื้อไวน์เกรดการลงทุนคือ การให้ความสำคัญกับวินเทจ หมายถึงปีที่เก็บเกี่ยวองุ่นและผลิตไวน์ โดยสภาพอากาศในแต่ละปีจะมีผลกับคุณภาพขององุ่นที่แตกต่างกันออกไป รวมทั้งชื่อเสียงของผู้ผลิตก็มีผลอย่างมากต่อมูลค่าของไวน์ เช่น Domaine de la Romanée-Conti (DRC), Pétrus, Château Mouton Rothschild และ Château Lafite Rothschild รวมถึงไวน์จากภูมิภาคต่างๆ เช่น เบอร์กันดี และบอร์กโดซ์ จากข้อมูลของ Sotheby’s Wine Index ไวน์เบอร์กันดีมีประสิทธิภาพเหนือกว่า S&P 500 อย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่ปี 2007 ในขณะที่บอร์กโดซ์มีประสิทธิภาพเหนือกว่า S&P 500 ในช่วงปี 2005-2019
นอกจากนี้ ศักยภาพในการบ่มไวน์และอายุของไวน์ก็มีส่วนสำคัญ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดขององุ่น และระดับของกรดและแทนนิน ทำให้ไวน์แต่ละขวดมีอายุยืนยาวต่างกัน ส่วนใหญ่ไวน์เกรดการลงทุนมักจะบ่มได้ประมาณ 10 ปีหลังจากบรรจุขวด แต่บางชนิดก็สามารถบ่มได้นานขึ้น โดยยังรักษาคุณภาพเอาไว้ได้
ไวน์ก็ไม่ต่างจากของสะสมชนิดอื่น นั่นคือราคาขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของตลาด ไวน์บางชนิดผลิตได้น้อย รสชาติดี ก็มีราคาสูง อย่างเช่น Domaine de la Romanée-Conti ไร่องุ่นขนาดเล็กที่ผลิตไวน์เบอร์กันดีเพียงประมาณ 450 ลังต่อปีเท่านั้น แต่มีราคาสูงจนติดอันดับต้นๆ ขณะเดียวกันก็ต้องหมั่นติดตามราคาและหาข้อมูลอยู่เสมอ โดยปกติเมื่อจะซื้อ-ขายไวน์ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อดูแนวโน้มของตลาด ราคา และประเภทของไวน์ รวมทั้งอ่านคำแนะนำจากนักวิจารณ์ที่มีชื่อเสียงและเชื่อถือได้ ก็จะทำให้การลงทุนในไวน์มีความแม่นยำมากขึ้น
สำหรับข้อดีของการลงทุนในไวน์คือ การกระจายพอร์ตการลงทุนโดยมีความสัมพันธ์ต่ำ หรือไม่มีเลย กับประเภทสินทรัพย์แบบดั้งเดิม และมีความผันผวนของตลาดต่ำ ทำให้ลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้ แต่ก็ตามมาด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง ทั้งเม็ดเงินในการลงทุนเริ่มต้นที่สูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์แบบดั้งเดิม เพื่อเริ่มสร้างพอร์ตโฟลิโอไวน์ชั้นดี อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ ตั้งแต่ตู้แช่ไวน์ หรือห้องเก็บไวน์ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ, ค่าประกันภัย และค่าขนส่ง และที่ต้องคำนึงถึงคือ ไวน์ไม่ใช่การลงทุนระยะสั้น ซึ่งไวน์ชั้นดีอาจใช้เวลา 7-10 ปี (หรือนานกว่านั้น) เพื่อให้ได้มูลค่าสูงสุด นอกจากนี้ เมื่อขายไวน์ผ่านบริษัทการประมูลอาจต้องถูกหักค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทนั้นๆ อีกด้วย
สำหรับเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักดื่มไวน์ทั่วโลกคือ การเจาะลึกไปถึงวิธีการปลูกองุ่น โดยเฉพาะการปลูกองุ่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการผลิตที่คำนึงถึงระบบนิเวศมากขึ้น ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Natural Wine กลายเป็นที่นิยมสำหรับนักดื่ม อย่างไรก็ตาม Natural Wine ก็อาจจะไม่เหมาะกับการลงทุนด้วยกรรมวิธีการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีต่ำ และใส่สารปรุงแต่งน้อย ทำให้มีความเปราะบางมากกว่าไวน์ทั่วไป จึงมีข้อจำกัดในการเก็บรักษา การขนส่ง และอายุของไวน์สั้นกว่าคือประมาณ 1 ปี แต่ก็มีทางเลือกในการสะสมรูปแบบอื่นที่ไม่ได้สะสมเป็นขวด
ปัจจุบันมีทางเลือกอื่นๆ สำหรับการลงทุนในไวน์โดยที่ไม่ต้องเก็บไวน์ไว้ที่ผู้ซื้อ อย่างเช่น แพลตฟอร์ม Vint หรือ Vinovest คอยจัดการพอร์ตการลงทุนในรูปแบบการเปิดบัญชีฝากเงินเพื่อซื้อไวน์และเก็บรักษาไวน์เอาไว้ โดยผู้ซื้อสามารถเรียกรับไวน์ได้เมื่อต้องการ รวมทั้งการซื้อ-ขายในรูปแบบของหุ้นเพื่อการลงทุนในไวน์ชั้นดีที่มีราคาสูงอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีการลงทุนในรูปแบบ Wine Fund และ Wine Future หมายถึงการซื้อไวน์จากผู้ผลิตในขณะที่ยังอยู่ในถังก่อนบรรจุขวด ซึ่งมีข้อดีคือราคาถูกกว่า จึงมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น และเป็นวิธีในการรับไวน์ที่อาจเข้าถึงได้ยากเมื่อบรรจุขวดแล้วอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ต้องศึกษาประวัติของผู้ผลิตและปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ร่วมด้วย
ในช่วงโควิดราคาไวน์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก แต่ขณะนี้อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้คนใช้จ่ายน้อยลงจนราคาไวน์ลดลง แต่น่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงปีใหม่ที่ใกล้จะถึงนี้ อย่างไรก็ตาม ไวน์ชั้นดีก็ยังเป็นที่ต้องการในตลาดใหม่ๆ เช่น ในจีน อินเดีย และบางส่วนในตะวันออกกลาง ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
อ้างอิง:
- www.forbes.com/advisor/investing/how-to-invest-in-wine/?fbclid=IwAR3Hp6mVur0bjjVghRGmtzyQP_Iifo270S3xCL9PskPUDbXn-x3QfWY9_mE
- www.forbes.com/sites/lizthach/2023/09/12/wine-investment-strategy-rarewine-executives-describe-a-winning-portfolio/?sh=356d952263b0
- www.investopedia.com/articles/pf/08/wine-investment.asp