เหมือนได้เห็นสองภาพที่ทาบทับซ้อนกัน
หนึ่งคือ ภาพในความทรงจำของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ในโรงละครสวิส โอเปราเฮาส์ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างกันคือ ริคาร์โด กากา เทพบุตรลูกหนังชาวบราซิล และเก้าอี้ตัวถัดไปคือ คริสเตียโน โรนัลโด คู่ปรับที่ฟ้าประทานมาให้
วันนั้น ลิโอเนล เมสซี เป็นได้เพียงสักขีพยานในการขึ้นไปรับรางวัล FIFA World Player ของกากา นักเตะที่ได้รับการลงคะแนนว่าเก่งที่สุดในโลกในเวลานั้น ซึ่งเป็นรางวัลใหญ่รางวัลที่สองต่อจากลูกฟุตบอลทองคำ หรือ ‘บัลลงดอร์’ ที่ซูเปอร์สตาร์ชาวบราซิลได้เดินทางไปรับรางวัลที่สำนักงานของนิตยสาร France Football
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่นักฟุตบอลแห่งยุคสมัยเก่าได้ขึ้นแท่นรับรางวัล
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โลกได้เข้าสู่ยุคสมัย ‘เมสซี vs. โรนัลโด’ ที่ยาวนานเป็นเวลาร่วมสิบปี กว่าที่ยุคสมัยนั้นจะสิ้นสุดลงนับจากปี 2018 เป็นต้นมา
โรนัลโดหมดสมัยไปแล้ว ณ ขณะนั้น แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนประหลาดใจคือ ยุคสมัยของเมสซีกลับยังคงยืนยาวต่อ
เขาคว้ารางวัลเกียรติยศนี้มาครองได้อีก 2 สมัยในปี 2019 และ 2021
อีกหนึ่งภาพที่ทาบทับซ้อนอยู่คือ ภาพ ณ ปัจจุบันของเมื่อคืนนี้กับการขึ้นรับรางวัลบัลลงดอร์สมัยที่ 8
การขึ้นรับรางวัลครั้งสุดท้ายของ ‘ราชาลูกหนัง’ เพื่อเป็นการบอกลายุคสมัยเก่า ก่อนที่เราจะก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่อย่างเป็นทางการ
ภาพ: @ballondor
ทุกคนลุกขึ้นยืนปรบมือเพื่อให้เกียรติแก่ราชาลูกหนัง
ในการขึ้นรับรางวัลของเมสซีจากมือของ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ตำนานกองหน้าแห่งแอฟริกา ที่ได้รับเกียรติให้เป็นผู้เชิญรางวัล ไม่ได้ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอะไรนัก
ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ผลการประกาศรางวัลบัลลงดอร์จะถูกเก็บงำเป็นความลับ รู้ตัวกันอีกทีคือข่าวและภาพที่นิตยสาร France Football เชิญนักฟุตบอลผู้ได้รับรางวัลมาถ่ายภาพเก็บไว้ล่วงหน้า ก่อนจะส่งออกมาให้กับสำนักข่าวอีกทอดหนึ่ง
ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องข้อจำกัดตามยุคสมัย แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นเสน่ห์ของการประกาศรางวัลสมัยก่อน
‘คุณเก็บความลับได้ไหม?’
แต่สำหรับยุคนี้ไม่มีความลับอะไรแบบนั้นอีกแล้ว การประกาศรางวัลมีขึ้นในสถานที่ใหญ่โตโอฬาร มีการเชิญแขกเหรื่อในโลกลูกหนังมากมาย และแน่นอนว่าผู้ชนะที่ได้รับรางวัลจากการโหวต ผู้สื่อข่าวจากทั่วโลกผู้ทรงคุณวุฒิก็ย่อม ‘รู้กัน’
อยู่ที่ว่ารู้แล้วจะเลือกเก็บงำไว้ หรือเลือกที่จะเปิดเผยออกมาล่วงหน้าโต้งๆ แบบ ฟาบริซิโอ โรมาโน คนข่าวโซเชียลมีเดียชื่อดัง ที่ไม่เพียงแค่บอกผู้ชนะ แต่ยังบอกรายละเอียดถึงขั้นว่าใครจะได้เป็นผู้เชิญรางวัล
อย่างไรก็ดี อย่างที่บอกว่าการได้รางวัลครั้งนี้ของเมสซีไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ
ความจริงมันแทบจะถูกตัดสินไปตั้งแต่นัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 ที่สนามลูเซล กับเกมนัดชิงที่มหัศจรรย์ที่สุดในรอบหลายสิบปี ซึ่งจบลงด้วยคำทำนายที่กลายเป็นความจริง
เมสซีได้แชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกของเขา เป็นสิ่งที่เขาเฝ้าฝันมาตลอดชีวิต
ลำพังแค่เรื่องนี้ก็แทบจะเป็นการการันตีแล้วว่า ทุกรางวัลเกียรติยศของโลกจะต้องตกไปอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง
แต่หากเรามองลงไปในรายละเอียด ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ของเมสซีไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่ายดาย
ในทางตรงกันข้าม มันเป็นสิ่งที่ยากจนน่าเหลือเชื่อ
เริ่มจากวัยของเขาที่ล่วงมาถึง 35 ปี (ในขณะนั้น) ใครจะคิดว่านักเตะในวัยนี้จะยังเหลือเรี่ยวแรงทั้งกายและใจในการสู้เพื่อความฝันครั้งสุดท้ายอีก
ร่างกายของเขาไม่เหมือนเดิม เขาไม่ได้อยู่ในช่วงที่ดีที่สุดเหมือนฟุตบอลโลก 2014 อีกแล้ว
แต่เมสซีกลับสร้างความประหลาดใจให้ทุกคนด้วยการรีดเร้นทุกสิ่งทุกอย่างออกมา เผาหัวใจจนไหม้เป็นจุณ และโชว์เพลงแข้งในระดับ ‘Masterclass’ หรือการเล่นเยี่ยงปรมาจารย์ลูกหนังออกมาให้แฟนฟุตบอลทั่วโลกได้เห็น
ลูกยิงไกลในเกมกับเม็กซิโก ซึ่งเป็นประตูที่เปลี่ยนทุกอย่างในฟุตบอลโลกหนนี้
จังหวะลากเลื้อยหลบนักเตะออสเตรเลียเหมือนเล่นบอลกับเด็ก
การโยกหลอก ยอสโก กวาร์ดิโอล หนึ่งในกองหลังที่แกร่งและเล่นได้ดีที่สุดในรายการ จนหลงทางก่อนจะหลุดไปเปิดบอลให้ ฮูเลียน อัลวาเรซ ทำประตูสำคัญในเกมกับโครเอเชีย
ประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษในนัดชิงชนะเลิศ
และรับหน้าที่สังหารจุดโทษเป็นคนแรกในเกมสำคัญที่สุดของชีวิต ที่หากผิดหรือพลาดไปจะกลายเป็นความเสียใจไปชั่วชีวิต
หัวใจที่แข็งแกร่งของเมสซีที่แสดงออกมาให้เห็นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาคู่ควรจะได้รับทุกรางวัล
หากยังจำกันได้ อาร์เจนตินาเริ่มต้นฟุตบอลโลกได้เหมือนฝันร้ายด้วยการพ่ายแพ้ต่อซาอุดีอาระเบีย ทีมนอกสายตา แบบช็อกความรู้สึก และชวนให้คิดว่า บางที ‘วาสนา’ ของเมสซีอาจมีไม่พอที่จะได้เป็นราชาลูกหนังตัวจริงของโลก
แต่เมสซีแสดงความเข้มแข็งและความเป็นผู้นำออกมาด้วยการบอกชาวอาร์เจนตินาและคนที่เชียร์เขาและทีมอัลบิเชเลสเตทุกคนว่า “ขอให้เชื่อในพวกเราเถอะ”
แล้วเมสซีก็พิสูจน์ให้เห็นจริงๆ ว่า ในยามที่ทุกคนต้องการเขามากที่สุด เขาจะไม่หายตัวไปไหนอีกแล้ว
แม้กระทั่งในวันที่หนักหน่วงในการเจอกับเนเธอร์แลนด์ เมสซีก็แสดงอีกด้านที่ก้าวร้าวออกมาเพื่อให้คู่แข่งได้รู้ว่าเขาไม่ยอมอะไรทั้งนั้น
มันเป็นการพิสูจน์และแสดงออกถึงอะไรหลายอย่างออกมาให้เห็น ไม่เพียงแค่ความสามารถหรือตัวตน
มากไปกว่านั้น ผลงานของเมสซีในฟุตบอลโลกไม่ต่างอะไรจากการปลูกต้นไม้ในใจคน เป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ของยุคสมัย
ผลงานเช่นนี้ ถ้าใครทำได้ ไม่ต้องเป็นเมสซีก็ถือว่าคู่ควรกับการสดุดี จริงไหม
เมสซีไม่ได้แค่พาทีมคว้าแชมป์ แต่พาชาวอาร์เจนตินาทั้งประเทศคว้าแชมป์ไปกับเขาด้วย
ดังนั้น ถึง เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ จะมหัศจรรย์ในเรื่องของผลงานการคว้า ‘เทรเบิลแชมป์’ กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปจนถึงสถิติการถล่มประตูที่น่าสยองขวัญ แต่สิ่งเหล่านั้นมันเทียบกันไม่ได้กับคุณค่าที่เมสซีมอบให้แก่โลกใบนี้
นี่คือเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้ราชาลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์สมควรที่จะเป็นผู้ได้รับรางวัลในปีนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในปีที่เขาได้รับรางวัลด้วยการพยักหน้าตอบรับจากคนส่วนมาก ต่างจากในบางครั้งที่การได้รับรางวัลของเขาเต็มไปด้วยข้อกังขาว่าเป็น ‘ลูกรัก’
แต่เหนือสิ่งอื่นใด เมสซีได้ฝากถ้อยคำสำคัญเอาไว้บนเวที
ว่าต่อจากนี้เป็นต้นไป จะเป็นยุคสมัยของนักเตะอย่างฮาลันด์, คีเลียน เอ็มบัปเป, จูด เบลลิงแฮม และใครต่อใครอีกมากมาย
บัลลังก์อันว่างเปล่านั้นต้องการเจ้าของคนใหม่
เรากำลังก้าวเข้าสู่ ‘ยุคสมัยใหม่’ ของโลกฟุตบอลอย่างเป็นทางการ
ส่วนเมสซีจะเป็น ‘นิทาน’ ที่ได้รับการบอกเล่าต่อกันนานสืบไป