ยูโอบีเปิดตัวโครงการ Business Circle อย่างเป็นทางการในประเทศไทย หวังสร้างเครือข่ายลูกค้าทายาทธุรกิจครอบครัวรุ่นใหม่ในอาเซียน ตั้งเป้ามีสมาชิกในไทย 200 รายภายใน 3 ปี คาดช่วยดันรายได้ธนาคารจากการจับคู่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจและการทำธุรกรรมข้ามประเทศที่สูงขึ้น
ธุรกิจครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ก่อให้เกิดการพัฒนาทางสังคมและการจ้างงาน โดย 57% ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยทั้งหมดเป็นธุรกิจครอบครัว และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 43% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมทั้งหมด
นอกจากนี้ ธุรกิจไทยมีความสนใจในการขยายธุรกิจไปต่างประเทศเพื่อต่อยอดการเติบโต โดยรายงาน UOB Business Outlook Study 2023 (SME & Large Enterprises) พบว่า 9 ใน 10 ของธุรกิจให้ความสนใจมองหาโอกาสขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยมีแรงจูงใจที่ชัดเจน ได้แก่ การเพิ่มรายได้ แสวงหากำไร และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร ทั้งนี้ สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย รวมถึงจีน เป็นจุดหมายหลักที่ธุรกิจไทยต้องการขยายตลาดไปมากที่สุด และกว่า 1 ใน 3 สนใจจะขยายธุรกิจไปนอกภูมิภาคเอเชีย
ตัน ชุน ฮิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า ปัจจุบันอาเซียนถือเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพในการเติบโตและมีความน่าลงทุนสูง เมื่อพิจารณาจากการมีมูลค่าการค้าภายในกันเองที่ 6.5 แสนล้านดอลลาร์ และมูลค่าการค้าระหว่างอาเซียนกับจีนอีก 6.5 แสนล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ อาเซียนยังมีขนาดประชากรสูงถึง 650 ล้านคน และส่วนใหญ่อยู่ในวัยแรงงาน มีต้นทุนค่าแรงที่ยังไม่สูงมากเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น
“ทายาทธุรกิจรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มีแผนจะขยายธุรกิจออกนอกประเทศ แต่การจะประสบความสำเร็จได้จำเป็นต้องมีพันธมิตรที่ดี และมีผู้ที่ช่วยให้คำปรึกษาเรื่องกฎระเบียบที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ซึ่งเราเชื่อว่า Business Circle และการมีเครือข่ายออฟฟิศ รวมถึงศูนย์ FDI Advisory กว่า 500 แห่งทั่วโลกของยูโอบีสามารถตอบโจทย์เรื่องนี้ได้” ตันระบุ
ตันกล่าวว่า ธนาคารเข้าใจถึงความมุ่งมั่นของทายาทรุ่นใหม่ที่ต้องการให้ธุรกิจครอบครัวเติบโตไปข้างหน้า เพราะยูโอบีเองเติบโตมาจากรากฐานของการเป็นผู้ประกอบการและมีส่วนร่วมในการสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่น โครงการ Business Circle ในประเทศไทยถือเป็นการนำความเชี่ยวชาญของธนาคารในฐานะธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาค ที่มีรากฐานที่หยั่งลึกในประเทศไทยมาสนับสนุนธุรกิจ
โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยลดอุปสรรคและเติมเต็มความต้องการทางธุรกิจให้แก่ลูกค้าของเราที่ต้องการเติบโตทั้งในประเทศและในประเทศเพื่อนบ้าน ธนาคารพร้อมจะอยู่เคียงข้างธุรกิจในทุกๆ ก้าวของการเดินทาง เพื่อผลักดันให้เกิดการขยายธุรกิจไปข้างหน้า
ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการ Business Circle จะได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าร่วมงานสัมมนาแบบเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการบริหารธุรกิจ และกิจกรรมเวิร์กช็อปที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาและอุปสรรคที่ธุรกิจต้องเผชิญ เช่น กลยุทธ์ในการพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินธุรกิจ และแนวทางในการนำพาธุรกิจเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ
ธนาคารยังมีแผนที่จะจัดให้ผู้เข้าร่วมโครงการเดินทางไปดูงานทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจ และสร้างความสัมพันธ์กับผู้นำองค์กรที่หลากหลาย สู่การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจในอนาคต
อัมพร ทรัพย์จินดาวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Commercial Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวว่า โครงการ Business Circle เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากการเปิดตัวครั้งแรกในประเทศสิงคโปร์เมื่อปี 2562 โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อเชื่อมต่อทายาทธุรกิจรุ่นใหม่อายุระหว่าง 30-45 ปี ที่มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจที่มียอดขายตั้ง 240 ล้านบาทต่อปีขึ้นไปมาเป็นเวลา 5-8 ปีภายในภูมิภาคอาเซียน ไปสู่การสร้างเครือข่ายและขยายโอกาสทางธุรกิจ โดยสมาชิกจะได้รับเชิญจากธนาคารเท่านั้น
อัมพรกล่าวว่า โครงการนี้จะขับเคลื่อนด้วยสามธีมหลักที่จะช่วยผลักดันธุรกิจให้เติบโตไปข้างหน้า ได้แก่ การเชื่อมโยง (Connectivity) การปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล (Digitalisation) และความยั่งยืน (Sustainability) สมาชิกที่เข้าร่วมโครงการจะได้เรียนรู้ข้อมูลเชิงลึกของอุตสาหกรรม ทักษะในการบริหารองค์กร และแนวคิดในการดำเนินธุรกิจจากผู้บริหารและผู้ประกอบการชั้นนำที่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ โครงการ Business Circle จะเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยในการสร้างคอนเน็กชันกับสมาชิกข้ามอุตสาหกรรม ข้ามพรมแดน และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างสมาชิกด้วยกันในทุกประเทศหลักที่ธนาคารยูโอบีดำเนินธุรกิจ
ปัจจุบันมีสมาชิกที่เป็นนักธุรกิจและทายาทธุรกิจรุ่นใหม่เข้าร่วมโครงการกว่า 1,000 คนในทุกประเทศที่ธนาคารยูโอบีดำเนินธุรกิจ ประกอบด้วยจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ธนาคารยูโอบีมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการนี้ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม จีน และฮ่องกงต่อไปในอนาคต
“สำหรับประเทศไทยปัจจุบันเรามีสมาชิก Business Circle อยู่แล้ว 65 ราย และตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนเป็น 200 รายภายใน 3 ปี โดยเราคาดว่าเครือข่ายทายาทธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นจะนำไปสู่การทำธุรกรรมข้ามพรมแดนที่สูงขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการให้บริการทางการเงินของธนาคาร” อัมพรกล่าว