ราคาหุ้น บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP ระหว่างการซื้อ-ขาย วันนี้ (4 กันยายน) ปรับตัวลดลงแตะจุดต่ำสุดใหม่ในรอบประมาณ 1 เดือนที่ 48.25 บาท หลังจากบริษัทแจ้งว่าเกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วจากเรือบรรทุกน้ำมัน ขณะขนถ่ายน้ำมันดิบกลางทะเลของโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ อำเภอศรีราชา จากนั้นราคามาปิดตลาดที่ 48.75 บาท ลดลง 2.75 บาท ติดลบไป 5.34% เปรียบเทียบจากราคาปิดวันที่ 1 กันยายน ที่ 51.50 บาท
บัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2566 เวลาประมาณ 21.00 น. ได้เกิดเหตุน้ำมันดิบรั่วไหลจากเรือบรรทุกน้ำมัน ขณะขนถ่ายน้ำมันดิบบริเวณทุ่นผูกเรือกลางทะเล หมายเลข 2 (SBM-2) ของโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งบริษัทได้เข้าควบคุมสถานการณ์บริเวณที่เกิดเหตุทันที
โดยได้ปิดวาล์วท่อน้ำมันที่เกิดปัญหาและวางทุ่นล้อมคราบน้ำมันเพิ่มเติมเพื่อป้องกันและจำกัดการแพร่กระจายตามขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานสากล ทำให้ขณะนี้ไม่มีน้ำมันรั่วไหลเพิ่มเติมแล้ว และไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว
บริษัทอยู่ระหว่างการตรวจสอบพื้นที่ เพื่อประเมินสถานการณ์โดยรอบจุดเกิดเหตุรวมทั้งได้เตรียมสารเคมีและอุปกรณ์ต่างๆ และดำเนินการเพื่อขจัดคราบน้ำมัน โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน
ขณะนี้เหตุการณ์ดังกล่าวนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินเครื่องโรงกลั่นน้ำมันของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้บริษัทมีประกันคุ้มครองความเสียหายอันเกิดจากทรัพย์สินและธุรกิจหยุดชะงัก ประกันการขนส่งสินค้าทางทะเล ประกันภัยคุ้มครองความรับผิดต่อสิ่งแวดล้อม และประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลที่สาม
จับตาความเสี่ยงกรมเจ้าท่าสั่งปิด SBM-2 ยาวกระทบธุรกิจ
ด้าน เบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า จากกรณีปัญหาน้ำมันรั่วของ บมจ.ไทยออยล์ ได้มีการชี้แจงกับนักวิเคราะห์ดังนี้
- บริษัทมีการวางทุ่นล้อมคราบน้ำมันเพิ่มเติมเพื่อป้องกันและจำกัดการแพร่กระจายตามขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานสากล โดยปริมาณน้ำมันดิบที่รั่วไหลอยู่ที่ 50,000-100,000 ลิตร โดยปัจจุบันไม่มีการรั่วไหลเพิ่มเติม ขณะที่ส่วนน้ำมันที่ออกนอกบริเวณทุ่นล้อมมีพื้นที่ 1.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเหตุน้ำมันรั่วในกรณีของ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล หรือ PTTGC และ บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง หรือ SPRC โดย SBM ของ TOP อยู่ห่างจากพื้นที่ชายฝั่งอ่าวอุดมประมาณ 6 กิโลเมตร เปรียบเทียบกับกรณีของ PTTGC ในเดือนกรกฎาคม 2556 ที่น้ำมันรั่ว 54,341 ลิตร และกรณีของ SPRC ในเดือนมกราคม 2565 ที่น้ำมันรั่ว 52,000 ลิตร
- บริษัทยังสามารถใช้ SBM-1 ทดแทนได้ (ขึ้นอยู่ความเห็นชอบของกรมเจ้าท่า) อย่างไรก็ตามจากเหตุการณ์ดังกล่าวจะทำให้ TOP มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากการขนถ่ายด้วยเรือเล็ก โดยบริษัทคาดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิต และการเดินเครื่องหน่วยกลั่นของบริษัท
- กรณีแย่สุด หากกรมเจ้าท่าไม่อนุญาตให้ใช้ SBM-1 ในการดำเนินงาน บริษัทยังสามารถใช้ CBM ของ TOP หรือท่าเรือของ PTT ในการรับน้ำมัน โดยท่าเรือดังกล่าวมีจุดเชื่อมกับโรงกลั่น TOP
- บริษัทมีประกันคุ้มครองความเสียหาย (All Risk Insurance) อันเกิดจากทรัพย์สิน (Property Damage) วงเงิน 1,016 ล้านดอลลาร์ โดยทั้งสินทรัพย์และสต๊อก โดยประกันมีความรับผิดชอบส่วนแรก (Fist Deductible) วงเงิน 5 ล้านดอลลาร์ และธุรกิจหยุดชะงัก (Business Interruption) และมีความรับผิดส่วนแรก (Fist Deductible) เป็นระยะเวลา 60 วัน นอกจากนี้ยังมีประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลที่สาม วงเงิน 50 ล้านดอลลาร์ โดยมีความรับผิดส่วนแรก (Fist Deductible) วงเงิน 10,000 ดอลลาร์
สำหรับ ราคาหุ้น TOP ปรับลดลงแรงจากความกังวลต่อเหตุการณ์ดังกล่าว แม้ปัจจุบันบริษัทยืนยันว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ดังกล่าวไว้ได้ทั้งหมด แต่ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยยังมีประเด็นที่ต้องได้รับความชัดเจนเพิ่มคือ
- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากการที่ต้องใช้เรือเล็กในการขนส่ง
- Resume Operation ของ SBM-2 โดย TOP มีปริมาณสำรองน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปประมาณ 30 วัน
- ความเห็นของกรมเจ้าท่าในการเปิดดำเนินงานต่อเนื่องของ SBM-1 รวมไปถึงการกลับมาดำเนินงานของ SBM-2 กรณีแย่สุดหากต้องปิดดำเนินงานเกิน 1 ปี อาจกระทบการเริ่มดำเนินงาน รวมถึงความชัดว่าจะตั้งมีการตั้งสำรองรายการดังกล่าวในไตรมาส 3/66 เป็นมูลค่าเท่าใด
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าราคาหุ้นที่ปรับลดลงเป็นโอกาสในการเข้าลงทุน จากมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/66 คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสก่อนหน้า มาจากปัจจัยบวกแนวโน้มค่าการกลั่น (GRM) ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้ไตรมาส 3/66 จะมีผลกำไรจากสต๊อกน้ำมัน (Stock Gain) เปรียบเทียบกับไตรมาส 1-2/66 ที่มีผลการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน (Stock Loss) แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาเป้าหมาย 68 บาท