จUber ประเทศไทยยุติการให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว หลังเปิดมานานกว่า 4 ปี ส่วนดีลรวมกิจการกับ Grab ในสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซียยังไร้ความคืบหน้า ด้านนักวิเคราะห์เชื่อหาก Uber ถูกสั่งล้มดีลก็พร้อมถอนสมอยุติการให้บริการด้วยตัวเอง
วานนี้ (8 เมยายน) Uber ผู้ให้บริการ Ride Sharing จากประเทศสหรัฐอเมริกาได้ยุติการให้บริการในประเทศไทยรวมถึงประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียนแล้ว (ยกเว้นสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย) หลังเปิดให้บริการที่ไทยมาตั้งแต่ปี 2557 ก่อนบรรลุข้อตกลงรวมกิจการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดเข้ากับ Grab ผู้ให้บริการร่วมเดินทางสัญชาติสิงคโปร์เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา
ตัวแทนจาก Grab ประเทศไทยให้ข้อมูลกับ THE STANDARD ว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน Uber ประเทศไทยได้ยุติการให้บริการตามกำหนดการเดิมที่ทั้ง 2 บริษัทเห็นชอบร่วมกัน โดยไม่มีกรณีปัญหากับรัฐบาลหรือผู้กำหนดนโยบายการค้าในประเทศแต่อย่างใด ส่วน Uber Eats ยังคงให้บริการต่อไปถึงวันที่ 31 พฤษภาคมนี้เพื่อยืดระยะเวลาให้ผู้ประกอบการร้านอาหารได้เตรียมตัวล่วงหน้า (Grab มี GrabFood รับช่วงต่อผู้ค้า)
ขณะที่สถานการณ์ในประเทศสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียดูจะไม่สู้ดีนัก เพราะหน่วยงานกำกับและควบคุมนโยบายการค้าของทั้ง 3 ประเทศยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบดีลครั้งนี้และยังไม่ได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการ ทำให้ Uber ยังคงต้องเปิดให้บริการต่อไปจนถึง 15 เมษายนนี้ตามคำสั่งของหน่วยงานที่ดำเนินการตรวจสอบในสิงคโปร์และฟิลิปปินส์
นักวิเคราะห์และนักกฎหมายจากสิงคโปร์ลงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า ดีลประวัติศาสตร์วงการ Ride Sharing ในครั้งนี้น่าจะลุล่วงได้ด้วยดี แต่หากทั้ง 2 บริษัทถูกสั่งให้ระงับการรวมกิจการเข้าด้วยกันจริง Uber ก็พร้อมจะถอนตัวยุติการให้บริการโดยไม่สนใจคำสั่งผู้ควบคุมนโยบายในประเทศนั้นๆ
Gerald Singham รองผู้จัดการบริษัทรับให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย Dentons Rodyk ในสิงคโปร์ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Star ประเทศมาเลเซียโดยบอกว่า แทนที่จะล้มดีลในครั้งนี้ เขาเชื่อว่าการรวมกิจการเข้าด้วยกันระหว่าง Grab และ Uber จะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นหน้าใหม่ๆ ในตลาด Ride Sharing ถือกำเนิดขึ้นด้วยซ้ำ และด้วยนโยบายการป้องกันและพันธกิจที่เหมาะสม สุดท้ายแล้วดีลในครั้งนี้ก็น่าจะผ่านฉลุย
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าแห่งสิงคโปร์ (CCS) มีคำสั่งให้ชะลอการรวมกิจการของ Grab และ Uber ชั่วคราว เพราะเกรงว่าผู้ให้บริการร่วมเดินทางสัญชาติสิงคโปร์อาจจะผูกขาดตลาด Ride Sharing ทั้งในแง่การให้บริการและการกำหนดราคา
อ้างอิง:
