วันนี้ (15 สิงหาคม) พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการปรับหลักเกณฑ์จ่ายเบี้ยผู้สูงอายุใหม่ว่า เดิมมีการยกร่างระเบียบเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุตามที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ แต่ต่อมากรมบัญชีกลางแจ้งมาว่าผู้ที่ได้รายได้อื่น เช่น เบี้ยบำนาญ รับเบี้ยผู้สูงอายุไม่ได้ ต้องเรียกคืน ทำให้มีปัญหาและสุดท้ายรัฐบาลก็ได้เรียกจ่ายเงินคืนประชาชน
พล.อ. อนุพงษ์กล่าวว่า จากนั้นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ยื่นเรื่องต่อกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จากนั้นกระทรวงได้ส่งระเบียบดังกล่าวให้กฤษฎีกาตีความ ซึ่งกฤษฎีกาตีความว่าระเบียบที่ออกมาไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดไว้ว่าประชาชนคนไทยจะต้องมีรายได้ที่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ โดยเฉพาะผู้ยากไร้ที่รัฐบาลจะต้องดูแลเป็นหลัก เพราะฉะนั้นการที่ระบุว่าจะให้ใครหรือไม่ให้ใครตามระเบียบเดิมไม่ได้ จึงเป็นที่มาที่ทำให้กระทรวงมหาดไทยต้องออกระเบียบใหม่
พล.อ. อนุพงษ์กล่าวต่อว่า ในระเบียบใหม่มีการกำหนดว่าการที่จะให้เบี้ยผู้สูงอายุจะต้องทั่วถึงและเป็นธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติจะต้องเป็นผู้กำหนด และส่วนตัวคิดว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มีอำนาจ เพราะผูกพันกับนโยบายของรัฐบาลใหม่ ใช้งบประมาณจำนวนมาก ก่อนจะยืนยันว่าเราได้ทำหนทางไว้ให้ทั่วถึงและเป็นธรรม จะมากหรือน้อย ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐบาลนี้
“ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพจากรัฐบาลตอนนี้ก็ยังคงได้รับเหมือนเดิม ส่วนผู้ที่ครบอายุใหม่ก็ยังสามารถรับได้ตามเกณฑ์เดิม ถ้าเขายังไม่ออกกำหนดออกมา ประชาชนก็ยังรับเบี้ยอย่างที่ผู้สูงอายุตามหลักเกณฑ์เดิม ดังนั้นประชาชนไม่ต้องกังวล เพราะหากดูสถานการณ์ที่พูดกันตอนนี้ ประชาชนน่าจะได้ประโยชน์ อย่างน้อยจะต้องทั่วถึงตามรัฐธรรมนูญและเป็นธรรม และต้องมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ประชาชนจะต้องได้ประโยชน์สูงสุด หนทางเราเตรียมไว้แล้ว จะออกทางไหนก็ได้ แต่จะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ และหากฟังจากเสียงที่ออกมาพูดกันทุกพรรค ประชาชนน่าจะได้ประโยชน์” พล.อ. อนุพงษ์กล่าว