วันนี้ (2 สิงหาคม) ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงข่าวภายหลังพรรคเพื่อไทยได้ประกาศผลการหารือระหว่างสองพรรคก่อนหน้านี้ว่า จะไม่มีพรรคก้าวไกลร่วมจัดตั้งรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ
ชัยธวัชเริ่มต้นแถลงข่าวโดยกล่าวว่า ก้าวไกลขอโทษประชาชนที่เราไม่สามารถผลักดันให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลที่เคารพเจตจำนงประชาชนผ่านการเลือกตั้งได้สำเร็จ ดังที่เพื่อไทยได้แถลงไปแล้วเมื่อตอนบ่ายว่า หลังจากนี้เพื่อไทยจะแยกจากก้าวไกลไปตั้งรัฐบาลเอง
ในการพูดคุยกัน พรรคเพื่อไทยได้แจ้งก้าวไกลว่า ต้องการขอออกจาก MOU ที่ทำร่วมกัน 2 ฉบับคือ ระหว่าง 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล และฉบับที่พรรคเพื่อไทยทำร่วมกันกับพรรคก้าวไกลในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร
ชัยธวัชระบุว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้มีการขอให้พิจารณาถอยการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่เคยคุย โดยพรรคเพื่อไทยระบุว่า พรรคการเมืองที่เพื่อไทยไปคุยมาไม่ต้องการให้ก้าวไกลร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะมีประเด็นมาตรา 112 หรือไม่
“ฝ่ายการเมืองจำนวนมากโดยเฉพาะกลุ่มอำนาจเก่า ไม่ต้องการที่จะเห็นพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล ไม่ใช่เรื่อง ม.112 หลายๆ พรรคที่เคยแถลงร่วมกับพรรคเพื่อไทยก็พูดชัดเจนว่าไม่ต้องการทำงานกับพรรคก้าวไกล เพราะอุดมการณ์ทางการเมืองไม่ตรงกับพรรคก้าวไกล” ชัยธวัชกล่าว
นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยไม่ได้ขอให้ก้าวไกลโหวตแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทยในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ ขณะที่แกนนำพรรคเพื่อไทยบางคนแสดงความกังวลด้วยซ้ำว่า หากพรรคก้าวไกลไปโหวตให้แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทย ส.ว. อาจจะไม่โหวตให้ เพราะอาจจะไปดึงมาร่วมรัฐบาลหลังเลือกนายกฯ เสร็จ
ชัยธวัชกล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคก้าวไกลอยากเรียนพี่น้องประชาชนว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหนต่อจากนี้ พรรคก้าวไกลจะทำงานในฐานะผู้แทนราษฎรอย่างเต็มที่ อย่างดีที่สุด ตามที่เราได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน เพื่อผลักดันคุณภาพชีวิตที่ดี ผลักดันระบบเศรษฐกิจที่ทันโลก และเปิดโอกาสให้ทุกคนเสมอภาคอย่างเท่าเทียม รวมถึงจะผลักดันการกระจายอำนาจ ปฏิรูประบบราชการ สร้างรัฐที่โปร่งใสเที่ยงธรรม และเคารพสิทธิเสรีภาพพี่น้องประชาชน เพื่อสร้างการเมืองบ้านเราให้เป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพื่อทำให้เสียงของพี่น้องประชาชนมีอำนาจอย่างแท้จริงสักวันหนึ่ง
“สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความบิดเบี้ยวของการเมืองไทย อำนาจสูงสุดไม่ใช่ของประชาชน อันนี้คือปัญหาใหญ่ของการเมืองไทยในยุคสมัยนี้ ซึ่งคงเป็นภารกิจของพวกเราที่จะผลักดันเปลี่ยนแปลงอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้การเมืองไทยกลับมาเป็นระบอบประชาธิปไตยปกติ ที่เสียงและอำนาจของประชาชนสำคัญที่สุด” ชัยธวัชกล่าวทิ้งท้าย