อดีตเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯ 3 นาย เข้าให้การต่อสภาคองเกรสวานนี้ (26 กรกฎาคม) ในการไต่สวนเกี่ยวกับกรณีการพบเห็น UFO (Unidentified Flying Object) หรือวัตถุบินที่ไม่สามารถระบุได้ ซึ่งทางการสหรัฐฯ ใช้ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า UAP (Unidentified Aerial Phenomena) หรือปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถอธิบายได้
โดยอดีตเจ้าหน้าที่ทั้ง 3 นาย เชื่อว่ารัฐบาลสหรัฐฯ นั้นมีการดำเนินโครงการลับเกี่ยวกับ UAP มานานหลายทศวรรษ และยังมีความลับอีกหลายอย่างที่ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณชน พร้อมผลักดันให้มีระบบรายงานข้อมูล UAP ที่โปร่งใส และเตือนว่าการขัดขวางการสืบที่มา UAP อาจนำมาซึ่งปัญหาการบินและภัยคุกคามความมั่นคงระดับชาติ
หนึ่งในอดีตเจ้าหน้าที่คือ เดวิด กรัสช์ (David Grusch) อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ให้การกับคณะอนุกรรมการผู้ทำการไต่สวนว่าเขา ‘แน่ใจ’ ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ได้ครอบครอง UAP โดยอ้างว่าเขาได้สัมภาษณ์พยาน 40 คนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในช่วงระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา
ในจำนวนบุคคลที่เขาสัมภาษณ์ยังรวมถึงผู้ที่เปิดเผยว่าได้เก็บกู้สารชีวภาพที่ไม่ใช่ของมนุษย์จากซาก UAP ที่ตกลงบนพื้นโลก โดยเขายังเผยว่ามีเพื่อนร่วมงานหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บจาก UAP
นอกจากนี้ กรัสช์ ซึ่งทำหน้าที่ผู้แทนของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในการสืบสวนเรื่อง UAP จนถึงช่วงต้นปีที่ผ่านมา เปิดเผยว่าเขาได้นำทีมเจ้าหน้าที่เพนตากอนในการวิเคราะห์รายงานการพบเห็น UAP หลายต่อหลายครั้ง และได้รับแจ้งเกี่ยวกับโครงการของเพนตากอนที่มีมานานหลายทศวรรษ ในการพยายามเก็บรวบรวมซากชิ้นส่วนและสร้าง UAP ที่พังจากการตกขึ้นมาใหม่ ซึ่งโครงการเหล่านี้ ‘อยู่เหนือการกำกับดูแลของรัฐสภา’ และงบประมาณที่มาจาก ‘การยักยอก’
อย่างไรก็ตาม โฆษกเพนตากอนให้สัมภาษณ์กับ NBC News โดยปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของกรัสช์ว่าไม่เป็นความจริง
อดีตเจ้าหน้าที่อีก 2 นายที่เข้าให้การคือ ไรอัน เกรฟส์ (Ryan Graves) อดีตนักบิน F-18 ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งเปิดเผยเรื่องการพบเจอ UAP ระหว่างการฝึก
อีกรายคือ เดวิด ฟราเวอร์ (David Fravor) อดีตผู้บัญชาการกองทัพเรือ ที่เผยว่าเขาและเพื่อนนักบินอีก 3 นาย เคยพบวัตถุบินไม่ทราบที่มารูปทรงไข่ขนาดใหญ่ลอยอยู่ใต้เครื่องบินรบของเขาระหว่างทำการบินอยู่นอกชายฝั่งรัฐแคลิฟอร์เนียในปี 2004
โดยฟราเวอร์ระบุว่าวัตถุบินดังกล่าวไม่มีใบพัด ปีกเครื่องบิน หรือท่อไอเสีย และได้บินเข้าใกล้เครื่องบินของเขา ก่อนจะหายไปและปรากฏอีกครั้งในไม่กี่วินาทีต่อมา โดยอยู่ห่างไปเกือบ 100 กิโลเมตร ซึ่งเขาได้นำเครื่องบินกลับไปยังเรือบรรทุกเครื่องบิน และแจ้งเพื่อนนักบินที่กำลังจะนำเครื่องขึ้นจนสามารถบันทึกวิดีโอไว้ได้ โดยเขาเชื่อว่าสิ่งที่พบนั้นมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าที่มนุษย์โลกมีไม่น้อยกว่า 10-20 ปี
การไต่สวนเรื่อง UAP ของคองเกรสมีขึ้นท่ามกลางการเรียกร้องของบรรดา ส.ส. ที่ต้องการให้กองทัพและหน่วยข่าวกรองเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ UAP ให้มากขึ้น โดยอ้างถึงภัยคุกคามความมั่นคงของชาติที่อาจเกิดขึ้นจากวัตถุปริศนาทั้งในน่านฟ้าของสหรัฐฯ หรือพื้นที่ใกล้เคียง
ขณะที่ ส.ส. และผู้ที่อ้างว่าเคยพบเห็น UAP หลายคน ผลักดันให้รัฐบาลกลางสร้างช่องทางในการสื่อสารข้อมูลเรื่อง UAP ทั้งต่อสาธารณชนและกองทัพ และชี้ว่ากองทัพควรสร้างกระบวนการรายงานเรื่องการพบเห็น UAP ที่ปลอดภัยและโปร่งใส
อดีตเจ้าหน้าที่กองทัพสหรัฐฯ ทั้ง 3 นาย ได้ให้ความเห็นต่อคองเกรสว่า ระบบการรายงานเรื่อง UAP ในปัจจุบันไม่เพียงพอที่จะตรวจสอบการเผชิญหน้าของ UAP และชี้ว่าความอัปยศและความกลัวต่อผลกระทบจากการรายงานเรื่องการพบ UAP ทำให้นักบินและเจ้าหน้าที่หลายรายที่เคยเจอ UAP เลือกที่จะเงียบ ซึ่งส่งผลขัดขวางความพยายามในการสืบหาที่มาของ UAP และยังเป็นปัญหาด้านความปลอดภัย ในขณะที่องค์การบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ก็ยังไม่มีกลไกให้นักบินรายงานเกี่ยวกับการพบ UAP
“ถ้าทุกคนสามารถเห็นข้อมูลจากเซ็นเซอร์และวิดีโอที่ผมเห็น การสนทนาระดับชาติของเราจะเปลี่ยนไป ผมขอให้เราละทิ้งความอัปยศและจัดการกับปัญหาด้านความปลอดภัยและความมั่นคงในหัวข้อนี้ หาก UAP เป็นโดรนจากต่างประเทศ ก็เป็นปัญหาความมั่นคงของชาติที่เร่งด่วน หากเป็นเรื่องอื่นก็เป็นปัญหาสำหรับวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าในกรณีใด วัตถุที่ไม่ปรากฏที่มาเป็นปัญหาต่อความปลอดภัยในการบิน ชาวอเมริกันสมควรได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนท้องฟ้าของเรา”
โดยอุปสรรคเหล่านี้ทำให้เกรฟส์ต้องการผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย เพื่อเป็นศูนย์กลางสำหรับนักบินผู้แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับ UAP และสนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ UAP โดยกองทัพและหน่วยงานรัฐบาลอื่นๆ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้น
ภาพ: Tom Williams / CQ-Roll Call, Inc via Getty Images
อ้างอิง: