ตั้งรัฐบาลส่อยืดเยื้อ หลังประธานสภาเลื่อนโหวตนายกฯ จากวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ รอศาลชี้ขาดประเด็น ‘ญัตติซ้ำ’ โหวตนายกฯ ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทำการเมืองเสี่ยงสุญญากาศ ฉุดฟันด์โฟลวหนีหุ้นไทย
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส ระบุว่า จากกรณีผู้ตรวจการแผ่นดินมีมติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาขอให้วินิจฉัย กรณีที่ประชุมรัฐสภาลงมติข้อบังคับการประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา ไม่ให้เสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซ้ำ เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเสนอ ‘ญัตติซ้ำ’ ซึ่งจะถือเป็นการผิดต่อข้อบังคับรัฐสภาในข้อ 41 ส่งผลให้กระบวนการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ทำให้ล่าสุดประธานสภาสั่งเลื่อนการโหวตนายกรัฐมนตรีจากเดิมวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ออกไปก่อน โดยต้องติดตามว่าจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ ซึ่งผลการวินิจฉัยอาจเป็นได้ 2 แนวทางคือ
- การเสนอชื่อซ้ำ ‘ไม่เป็นญัตติ’ สามารถนำชื่อแคนดิเดตนายกฯ จากก้าวไกลกลับมาเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภาได้อีกครั้ง
- การเสนอชื่อซ้ำ ‘เป็นญัตติ’ ไม่สามารถนำชื่อแคนดิเดตนายกฯ จากก้าวไกลกลับมาเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภาได้ และพรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป
ทั้งนี้ จะส่งผลให้การจัดตั้งรัฐบาลมีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น โดยมีโอกาสที่จะเกิดสุญญากาศของรัฐบาลและสุญญากาศงบประมาณนานขึ้น หรืออาจเห็นการจัดตั้งรัฐบาลแบบสลับขั้ว โดยจากแนวโน้มของสถานการณ์ปัจจุบันประเมินว่ามีความเป็นไปได้ทั้ง 2 กรณี
แต่หากเป็นกรณีที่ 1 จะทำให้เกิดสุญญากาศของรัฐบาลและสุญญากาศของงบประมาณ โดยปกติแล้วงบประมาณรายจ่ายปี 2567 จะถูกเบิกจ่ายช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 30 กันยายน 2567 ซึ่งหากเกิดสุญญากาศจนถึงเดือนพฤษภาคม 2567 จะทำให้ช่วงเวลาที่จะใช้พิจารณางบประมาณสั้นลง และใช้ประโยชน์ได้ไม่เท่าที่ควร
ดังนั้นประเด็นดังกล่าวคาดว่าจะทำให้สัปดาห์นี้ฟันด์โฟลวต่างชาติมีโอกาสไหลออกช่วงสั้น และกดดัน SET Index กลับไปทดสอบแนวรับแรกที่ระดับ 1,520 จุด และแนวรับสำคัญที่ 1,500 จุด โดยประเมินภาพการเมืองในช่วงนี้มีโอกาสที่จะเกิดสุญญากาศได้ ซึ่งจะมีผลกระทบให้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ถูกพิจารณาและเบิกจ่ายได้ไม่เต็มที่
อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิดว่าจะเป็นเช่นไร ซึ่งภาวะปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนทางการเมืองจะเป็นปัจจัยกดดันฟันด์โฟลวต่างชาติไหลออกช่วงสั้นและกดดัน SET Index ระยะถัดไปมีโอกาสผันผวนต่อจากความร้อนแรงทางการเมือง แต่ยังได้กระแสจากปัจจัยภายนอกเข้ามาสนับสนุน อาทิ ราคาน้ำมันขยับขึ้นราว 3% วานนี้ ช่วยพยุงตลาดหุ้นไทย ซึ่งอิงราคา Commodity ถึง 1 ใน 3 ส่วน และยังมีประเด็นความคาดหวังการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจจากจีน รวมถึงปัจจัยที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะยุติวงจรการขึ้นดอกเบี้ย หนุนเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มเติมได้