วันนี้ (22 มิถุนายน) พ.อ. จิตนาถ ปุณโณทก รองโฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงภายหลังการประชุมกระทรวงกลาโหมว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพดำเนินการในการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงกลาโหม ตามแผนการปฏิรูปการบริหารจัดการและการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงกลาโหม ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570)
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และนำไปสู่การมีโครงสร้างอัตราการจัดหน่วยที่มีขนาดกะทัดรัดอย่างสมดุล มีจำนวนกำลังพลที่เหมาะสม รวมทั้งมียุทโธปกรณ์เทคโนโลยีที่เพียงพอและทันสมัย สามารถปฏิบัติภารกิจได้หลากหลาย รองรับภัยคุกคามได้ทุกรูปแบบ และสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ตลอดจนพิจารณาปรับลด ยุบเลิกหน่วยที่มีความซ้ำซ้อนหรือหมดความจำเป็น
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวให้ยึดถือและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขอัตราของหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
นอกจากนั้น ยังให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพดำรงความต่อเนื่องในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านความมั่นคงกับมิตรประเทศ ตามแผนการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงกับมิตรประเทศของกระทรวงกลาโหม (พ.ศ. 2566-2570) และสอดคล้องกับการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ด้วยการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีในทุกระดับและทุกด้านกับนานาประเทศ ผ่านกิจกรรมความร่วมมือต่างๆ
อาทิ การฝึกร่วมผสม การเดินทางเยือนของผู้บังคับบัญชาระดับสูง การแลกเปลี่ยนที่นั่งการศึกษา และการเข้าร่วมการประชุมหารือ ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี รวมทั้งการจัดทำ MOU ในด้านต่างๆ อันเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์และความ ไว้เนื้อเชื่อใจ ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถของกองทัพ ในการสร้างความสงบสุขและความมั่นคงภายในภูมิภาคได้อย่างยั่งยืน
ให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพเน้นย้ำและกำชับหน่วยฝึกทหารใหม่ ให้ปฏิบัติตามระเบียบและหลักสูตรการฝึกทหารใหม่อย่างเคร่งครัด กรณีมีการลงทัณฑ์ทหารที่กระทำผิดวินัย จะต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร พุทธศักราช 2476 ระเบียบข้อบังคับของทางราชการ และแบบธรรมเนียมทหารเท่านั้น
มีรายงานว่า ในที่ประชุมสภากลาโหม พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้รายงานแผนรักษาความสงบเรียบร้อยอาคารรัฐสภาและพื้นที่โดยรอบ ช่วงการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
โดยคาดว่าน่าจะมีกลุ่มมวลชนมาชุมนุมเพื่อกดดันให้วุฒิสมาชิกเลือกแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ตัวเองสนับสนุน ซึ่งจะมีการจัดพื้นที่ไว้รองรับ ซึ่งเป็นแผนเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่จะปรับเปลี่ยนไปตามข้อมูลข่าวสารในขณะนั้นด้วย เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถรับมือได้