วันนี้ (21 มิถุนายน) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวเปิดงานสัมมนาว่าที่ ส.ส. พรรคเพื่อไทย ว่าส่วนตัวเชื่อมั่นว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรครัฐบาลในการดูแลประชาชน ดังนั้นหน้าที่ของ ส.ส. ทุกคนจะมีความเชื่อมโยงกับบทบาทหน้าที่ในการดูแลประชาชนหลายมิติ ทั้งการเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาล เป็น ส.ส. ที่ทำหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติในการตราพระราชบัญญัติ การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน หรือให้ความเห็นชอบในตำแหน่งต่างๆ อาทิ นายกรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงตำแหน่งอื่นๆ ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ส.ส. และอีกหนึ่งหน้าที่ที่ไม่ได้ถูกบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ต้องถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สำคัญคือหน้าที่ในการดูแลประชาชน
จากนั้นจะเปิดโอกาสให้สมาชิก ส.ส. ทุกคนเปิดใจกำหนดอนาคตของประเทศชาติร่วมกัน ซึ่งเชื่อมั่นว่าทุกคนจะร่วมกันคิดทำในมุมมองต่างๆ ที่ทุกคนอยากนำเสนอต่อพรรค มุ่งมั่นจะเป็นพรรคที่ดูแลประชาชนให้ดีที่สุด จะเป็นสถาบันการเมืองที่ทุกคนมุ่งหวังต่อไป
ทั้งนี้ นายแพทย์ชลน่านกล่าวติดตลกว่า ก่อนหน้านี้ทุกคนมีภาพจำว่าตนเป็นผู้นำฝ่ายค้านมาตลอด แต่จากนี้จะขอเป็นรัฐมนตรีบ้าง แต่ขึ้นอยู่กับความเห็นของทุกคนที่จะพิจารณา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การสัมมนา ส.ส. พรรคเพื่อไทยในช่วงเช้า มีไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การเปิดโอกาสให้ ส.ส. เปิดใจแสดงความเห็น โดยเฉพาะประเด็นความไม่พอใจของ ส.ส. พรรคเรื่องตำแหน่งประธานสภา ที่ ส.ส. เพื่อไทยมองว่าพรรคเพื่อไทยยกให้กับพรรคก้าวไกล
ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค เริ่มต้นกล่าวถึงกระบวนการทำงานในการเป็นตัวแทนพรรคไปทำหน้าที่เจรจาร่วมจัดตั้งรัฐบาล ว่าที่ผ่านมาพวกตนได้ดำเนินการตามที่คณะกรรมการบริหารพรรคมอบหมาย ซึ่งมีการพูดคุยเป็นทางการสองครั้งเท่านั้น ครั้งแรกที่ร้านอาหาร Chez Miline ถนนสุโขทัย
ส่วนครั้งที่สองเป็นการพูดคุยกันของสองพรรคระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล โดยสรุปของการพูดคุยคือ การจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการ โดยทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยจะได้พรรคละได้ 14 ที่นั่ง
ขณะเดียวกันตนก็เสนอว่าเมื่อพรรคก้าวไกลได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประมุขฝ่ายบริหาร เป็น 14+1 ขณะที่พรรคเพื่อไทยแม้จะเป็นพรรคอันดับสอง แต่ก็มีจำนวน ส.ส. ต่างกันไม่มาก ดังนั้นเพื่อความเหมาะสมและเป็นกำลังใจให้กับกองเชียร์ เพื่อไทยเห็นว่าควรเป็น 14+1 เช่นกัน คือตำแหน่งประธานสภาประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ควรเป็นของพรรคเพื่อไทย แต่ทั้งนี้เรื่องตำแหน่งประธานสภายังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ยังรอคำตอบจากพรรคก้าวไกล
แต่การให้ข่าวของตนและเลขาธิการพรรคอาจจะทำให้สมาชิกพรรคเกิดความไม่สบายใจหรือความไม่พอใจ เรื่องการยึดหลักพรรคอันดับหนึ่ง วันนี้จึงเปิดโอกาสให้ ส.ส. ได้แสดงความเห็นได้เต็มที่
โดยคนแรกที่แสดงความเห็นคือ อดิศร เพียงเกษ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่งมีความชัดเจนตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าไม่เห็นด้วยที่เพื่อไทยจะยกตำแหน่งประธานสภาให้กับพรรคก้าวไกล โดยกล่าวชื่นชมพรรคก่อนว่าการสัมมนาในวันนี้ ที่จัดให้มีบรรยากาศเป็นประชาธิปไตย เพราะที่ผ่านมามีแต่การรับฟังโอวาทโดยไม่ได้แสดงความคิดเห็น
จากนั้นอดิศรแสดงความคิดเห็นเรื่องตำแหน่งประธานสภา ว่าไม่เห็นด้วยที่พรรคเพื่อไทยได้ 141 เสียง ก้าวไกลได้ 151 เสียง แล้วพรรคเพื่อไทยจะเห็นด้วยกับก้าวไกลทุกอย่าง มองมีศักดิ์ศรีเท่ากัน แม้เห็นด้วยกับการสนับสนุน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
“เพราะเป็นอันดับ 1 แต่ไม่ได้หมายความว่าการได้ 151 เสียงเมื่อได้บริหารแล้วจะหาวเอาเดือน เอาดาว เอาตำแหน่งประธานสภาไปด้วย ผมว่ามันง่ายไป ไม่ได้เห็นเพื่อนฝูงอยู่ในสายตา ผมจึงออกมาพูดเรื่องนี้โดยไม่ได้นัดหมายกับใคร เป็นการสู้เพื่อให้พรรคเพื่อไทยยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ลูกน้องพรรคการเมืองใด” อดิศรกล่าว
อดิศรยังกล่าวถึงกรณี ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของตน ก็เข้าใจ พร้อมระบุว่าตนเจ็บปวด แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถให้ตำแหน่งประธานสภากับพรรคก้าวไกลเพราะมีเสียงแค่ 151 หากมีปัญหาในสภาจะแก้ก็สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการโหวตในสภา ทั้งนี้ มองว่าพรรคเพื่อไทยมีบุคลากรที่เหมาะสมมากกว่า
“ผมไม่อยากเห็นสามเณรกับพระบวชใหม่มาเป็นประธานสภา และย้ำว่าเพื่อไทยมีบุคลากรเหมาะสมหลายคน ทั้งบุคคลที่นั่งบนเวที หรือ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค, ภูมิธรรม เวชยชัย, ประเสริฐ จันทรรวงทอง รวมถึงคนในห้อง จาตุรนต์ ฉายแสง, ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ผมก็เป็นได้ เรามีบุคลากรเยอะ อย่าเพิ่งไปยอมเขาง่ายๆ” อดิศรกล่าว
อดิศรย้ำว่า ตำแหน่งประธานสภาถึงอย่างไรก็ควรจะเป็นของพรรคเพื่อไทย ทั้งโดยศักยภาพ โดยทฤษฎี พรรคก้าวไกลต้องถอย เพื่อให้รัฐบาลผสมที่จะเกิดในอนาคตเดินทางไปสู่การแก้ปัญหาบ้านเมืองได้ ปัญหานี้แก้ไม่ได้ก็เหมือนหินอยู่ในรองเท้า ซึ่งตนไม่รู้ว่าจะงดออกเสียงหรือไม่ เพราะไม่สามารถให้สามเณรและพระบวชใหม่เป็นประธานสภาได้
นอกจากนี้อดิศรยังขอโทษภูมิธรรมที่ทะเลาะกัน แต่เป็นการทะเลาะเพื่อแลกเปลี่ยน เพื่อให้พรรคเพื่อไทยยิ่งใหญ่ และพรรคเพื่อไทยไม่ใช่สาขาของพรรคก้าวไกล เราเหนื่อย ต่อสู้ทุกเขตกับพรรคก้าวไกลทั้งนั้น พร้อมขอว่าทำงานการเมืองอย่าอ่อนต้องแข็ง พรรคเพื่อไทยมีประสบการณ์มากกว่า 22 ปี ต้องสรุปบทเรียน ประชุมกันบ่อยๆ แบบทูเวย์คอมมูนิเคชัน อย่าให้โอวาทอย่างเดียว ก่อนกล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าเราร่วมมือกัน พรรคเพื่อไทยยิ่งใหญ่กว่าทุกพรรคในประเทศ