×

เปลี่ยนงานพาร์ตไทม์ให้เป็นงานประจำเสียเลยจะดีไหม?

28.03.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • พิจารณาดูว่า นอกจากเรื่องเงินแล้ว งานพาร์ตไทม์อันนี้ถ้าต้องกลายเป็นงานหลักจะทำให้ชีวิตคุณเป็นแบบไหน คุณชอบมันมากพอที่จะอยู่กับมันทั้งวี่ทั้งวันได้หรือเปล่า นอกจากชอบแล้ว คุณคิดว่าคุณอยู่กับมันได้จริงๆ หรือเปล่า และงานพาร์ตไทม์นี้มีแผนรับรองความมั่นคงกับชีวิตได้ไหม
  • หาให้เจอก่อนว่างานประจำที่คุณทำอยู่เป็นอย่างไร คุณจะไม่อยากทำมันแล้วเพราะเงินอย่างเดียวหรือเพราะเหตุผลอื่นด้วย เช่น คุณรู้สึกว่าอยู่ไปก็ซังกะตายหรือเปล่า หรืออยู่แล้วไม่มีโอกาสเติบโต
  • อารมณ์เดียวกับการแต่งงาน เราแต่งงานกับเขาเพราะเขาดูรวยอย่างเดียวคงไม่พอ มีอะไรต้องคิดอีกเยอะว่าแต่งงานกับงานนี้แล้ว เราจะอยู่ด้วยได้จริงๆ ไหม อยากอยู่กับเขาจริงๆ หรือเปล่า แต่งแล้วเราจะอยู่รอดได้ไหม

ถ้าเรามองงานประจำกับงานพาร์ตไทม์เพียงในมุมที่ว่า งานไหนให้เงินมากกว่ากัน ผมคิดว่ามันอาจจะไม่ครอบคลุมพอ และมันจะเสี่ยงต่อการตัดสินใจที่ไม่รอบด้านพอ

Q: ผมรู้สึกว่างานประจำที่ทำอยู่ตอนนี้ได้เงินน้อยกว่างานพาร์ตไทม์ที่ทำอยู่ เลยคิดว่าถ้าไปลุยงานพาร์ตไทม์นั้นให้เต็มที่เลยจะดีกว่าดีไหม คิดไม่ตกเลยครับ

 

A: การมีงานพาร์ตไทม์เป็นสิ่งที่ดีครับ อย่างแรกมันพาเราไปสู่โลกใหม่ๆ ที่อาจจะแตกต่างจากงานประจำ ทำให้ได้ประสบการณ์และได้เจอกับสังคมที่กว้างขึ้น ยิ่งเราพาตัวเองไปทำอะไรที่แตกต่างบ้างก็จะทำให้เราได้เจอบรรยากาศใหม่ๆ ที่ไม่จำเจ ซ้ำซาก เผลอๆ ประสบการณ์จากงานประจำกับงานพาร์ตไทม์อาจจะเอื้อกันและกันได้ อันนี้จะยิ่งดีใหญ่ ทำให้เรายิ่งเติบโตไปได้ทั้งงานประจำและงานพาร์ตไทม์

 

อย่างที่สองคือ สำหรับบางคน งานพาร์ตไทม์อาจจะเป็นการที่เราได้ทำสิ่งที่เราอยากทำ เราชื่นชอบ สนุกที่จะได้ทำ เป็นพื้นที่ให้เราได้ใช้ความสามารถอย่างอื่นที่อาจจะไม่ได้ใช้ในงานประจำมาทำประโยชน์ได้ อย่างที่สามคือรายได้ ถ้างานพาร์ตไทม์มันสามารถสร้างรายได้ให้เราได้ อันนี้ถือเป็นโบนัสนะครับ สำหรับบางคน เงินอาจไม่ใช่ประเด็นหลักของการทำงานพาร์ตไทม์ และสำหรับบางคน นี่แหละคือประเด็นหลักเลยล่ะครับ ไม่มีผิดมีถูก อยู่ที่เราออกแบบชีวิต

 

รวมๆ แล้วงานพาร์ตไทม์ควรจะเป็นงานที่ไม่กินเวลาในชีวิตของเรามาก ผมใช้คำว่า ‘เป็นทางเลือก’ ให้กับชีวิต คือไม่ควรเป็นงานที่เรารู้สึกว่าลำบากยากเย็นที่จะทำ ทำแล้วรู้สึกว่าได้ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ ได้ประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ มีอิสระมากพอ  แต่ถ้างานพาร์ตไทม์กลายเป็นงานที่เราต้องเครียดกับมันมาก หรือไปกินพื้นที่ชีวิตของงานประจำ ผมคิดว่าอันนี้คงไม่เหมาะ

 

จากสถานการณ์ที่คุณได้เล่ามา ผมคิดว่าถ้าเรามองงานประจำกับงานพาร์ตไทม์เพียงในมุมที่ว่า งานไหนให้เงินมากกว่ากัน ผมคิดว่ามันอาจจะไม่ครอบคลุมพอ และมันจะเสี่ยงต่อการตัดสินใจที่ไม่รอบด้านพอ

 

กลับไปที่คำถามเบสิกก่อนเลยครับว่า คุณทำงานประจำนี้เพื่ออะไร และทำงานพาร์ตไทม์นี้เพื่ออะไร แต่ละอย่างมันเติมเต็มชีวิตในด้านไหนบ้าง ลองเอาจุดแข็งจุดอ่อนของทั้งงานประจำและงานพาร์ตไทม์ที่คุณทำอยู่มากางดู ให้เงินที่ได้รับเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่เราจะวัดคุณค่าของมัน

 

ผมคิดว่าการจะเปลี่ยนจากงานประจำ แล้วเอาเงินพาร์ตไทม์เดิมขึ้นมาเป็นงานประจำอันใหม่นั้นต้องลองคิดดูดีๆ ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้นะครับ แต่อยากให้ลองพิจารณาดูว่า นอกจากเรื่องเงินแล้ว งานพาร์ตไทม์อันนี้ถ้าต้องกลายเป็นงานหลักจะทำให้ชีวิตคุณเป็นแบบไหน คุณชอบมันมากพอที่จะอยู่กับมันทั้งวี่ทั้งวันได้หรือเปล่า นอกจากชอบแล้ว คุณคิดว่าคุณอยู่กับมันได้จริงๆ หรือเปล่า และงานพาร์ตไทม์นี้มีแผนรับรองความมั่นคงกับชีวิตได้ไหม ไม่ใช่แค่ในมุมรายได้อย่างเดียว ถ้าเอาเงินเป็นตัวตั้งในการตัดสินใจจะทำอะไร เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราจะมีความสุขจริงกับการแค่ได้เงินมา

เราต้องถามตัวเองนะครับว่าเราอยู่กับมันได้ไหม ถ้าต้องทำเต็มตัวเรารักมันมากพอหรือเปล่า และมันทำให้เราเติบโตขึ้นได้อย่างไรบ้าง อาจจะต้องหาข้อมูลให้รอบด้านก่อนครับว่าคนที่เขาทำงานแบบนี้เขาทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ เขามีชีวิตกันแบบไหน แล้วกลับมามองตัวเองด้วย

งานบางอย่างที่เรามีความสุขอยู่ และรู้สึกว่ามันดี๊ดี เป็นเพราะเรายังไม่ต้องทำมันเต็มตัว มันยังพอมีพื้นที่เหลือให้เรามีอิสระได้อยู่ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เราชอบทำอาหารกับเราต้องทำอาหารขายทุกวัน ความรู้สึกมันคนละเรื่องกันเลยนะครับ เราขายประกันวันเสาร์อาทิตย์กับเราต้องขายประกันเป็นงานประจำ ก็เป็นคนละเรื่องเหมือนกัน หรือเราเล่นหุ้นได้กับเราต้องเล่นหุ้นเพื่อยังชีพนี่ก็ยิ่งคนละเรื่องกันเลยครับ ฯลฯ ความเป็นงานพาร์ตไทม์กับความเป็นงานประจำมันมีความกดดันที่เราต้องแบกไว้บนไหล่ต่างกันอยู่ ไม่ได้แปลว่าไม่ดีนะครับ แต่มันแค่เป็นเรื่องที่เราต้องเก็บมาพิจารณา ถ้ารับไหวก็เดินหน้าเลย

 

ถ้าเราต้องอยู่กับมันแบบเต็มตัว เราต้องถามตัวเองนะครับว่าเราอยู่กับมันได้ไหม ถ้าต้องทำเต็มตัวเรารักมันมากพอหรือเปล่า และมันทำให้เราเติบโตขึ้นได้อย่างไรบ้าง อาจจะต้องหาข้อมูลให้รอบด้านก่อนครับว่าคนที่เขาทำงานแบบนี้เขาทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ เขามีชีวิตกันแบบไหน แล้วกลับมามองตัวเองด้วยว่า คุณมีความสามารถพอที่จะผลักดันในงานนี้เติบโตได้หรือเปล่า ทำแล้วรู้สึกว่ามันเติมเต็มชีวิตได้อย่างไรบ้าง ที่สำคัญมันมั่นคงพอไหม

 

ที่ต้องถามว่ามันมั่นคงพอไหมก็เพราะ ในระยะยาวถ้าคุณจะต้องอยู่กับงานงานนี้ คุณก็ต้องอยู่รอดได้ด้วย นอกจากตัวเงินซึ่งคุณบอกว่ามากแล้ว มันให้อะไรกับชีวิตเราอีกบ้างที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่รอดได้ยาวนาน เช่น มีโอกาสเติบโตไหม เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ บ้างหรือเปล่า เราได้ใช้ความสามารถของเราไหม

 

เช่นเดียวกัน หาให้เจอก่อนว่างานประจำที่คุณทำอยู่เป็นอย่างไร คุณจะไม่อยากทำมันแล้วเพราะเงินอย่างเดียวหรือเพราะเหตุผลอื่นด้วย เช่น คุณรู้สึกว่าอยู่ไปก็ซังกะตายหรือเปล่า หรืออยู่แล้วไม่มีโอกาสเติบโต และดูทรงแล้วงานพาร์ตไทม์ที่ทำอยู่น่าจะพาคุณไปได้สวยมากกว่า

 

มันอารมณ์เดียวกับคุณจะต้องแต่งงานกับงานงานนี้น่ะครับ แต่งงานกับเขาเพราะเขาดูรวยอย่างเดียวคงไม่พอ มีอะไรต้องคิดอีกเยอะว่าแต่งงานกับงานนี้แล้วเราจะอยู่ด้วยได้จริงๆ ไหม อยากอยู่กับเขาจริงๆ หรือเปล่า แต่งแล้วเราจะอยู่รอดได้ไหม

 

จุดนี้แหละครับที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าจะบริหารชีวิตอย่างไร จะกระโดดมาทำงานพาร์ตไทม์ให้เป็นงานหลักดีไหม หรือจะยังทำมันควบคู่กัน แต่เป็นควบคู่กันในสัดส่วนอย่างไร

 

ถ้าเลือกแล้วว่าจะเปลี่ยนงาน ก็ลุยเลยครับ ทำให้เต็มที่ อย่างน้อยก็ได้ลองด้วยตัวเองแล้ว คิดเผื่อแผนสำรองไว้ด้วย อย่าเพิ่งรีบหักดิบลาออก แต่ให้คุณมีไทม์ไลน์ให้กับตัวเองว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ถ้าเลือกที่จะยังคงงานประจำไว้อยู่พร้อมกับทำงานพาร์ตไทม์ไปด้วย ผมอยากแนะนำให้คุณลองมาหาความสุขที่อยู่ในงานทั้งสองแบบที่นอกเหนือไปจากเรื่องเงิน ถ้าหาเจอแล้ว ผมคิดว่าคุณก็น่าจะมีความสุขกับงานทั้งสองได้ และทำให้งานนั้นมีความหมายขึ้นมา

 

เอาใจช่วยครับ ขอให้ประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นงานพาร์ตไทม์หรืองานประจำก็ตาม

 

* ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ 

 

ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X