×

The Genius! วิธีทำงานแบบอัจฉริยะของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่พาแมนฯ ซิตี้ ครองโลกฟุตบอล

12.06.2023
  • LOADING...
เป๊ป กวาร์ดิโอลา

HIGHLIGHTS

7 MIN READ
  • โยฮัน ครอยฟ์ เจ้าของสมญา ‘นักเตะเทวดา’ Visionary นักปราชญ์ลูกหนังผู้ล่วงลับ ซึ่งเป็นบรมครูของเป๊ป นิยามลูกศิษย์ว่า “เขาเป็นโค้ชที่มีจินตนาการสูงที่สุดในโลกของฟุตบอล”
  • กุนซือสมองเพชรคนนี้เป็นคนประเภท Perfectionist ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ ทุกรายละเอียดในการเล่นจะต้องเป๊ะตามอย่างที่เขาคิดเท่านั้น ดังนั้นในเวลาฝึกซ้อม เป๊ปจะเป็นคนที่เคร่งเครียดและจริงจังอย่างมาก
  • นักเตะคนไหนก็ตามที่เข้ามาอยู่ในทีมของเป๊ป ทุกคนจะต้องเข้าใจว่านี่คือทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ทีมที่ลงแข่งเพื่อชนะเท่านั้น ต่อให้ต้องเจออุปสรรคขวากหนามยากเย็นอย่างไร ก็ต้องคว้าเอาชัยชนะมาให้ได้ และต่อให้ชัยชนะจะเล็กจะน้อยอย่างไร มันก็มีความหมายทั้งนั้น
  • กับแมนฯ ซิตี้เอง เป๊ปได้ ‘อีโว’ ทีมมาแล้วหลายครั้ง ล่าสุดคือการให้ จอห์น สโตนส์ มาเล่นมิดฟิลด์ตัวรับ และใช้กองหลังแบ็กโฟร์ที่เป็นเซ็นเตอร์แบ็กทั้งหมด!

ในฤดูกาล 2016/17 ที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมในถิ่นเอติฮัดสเตเดียมต่อจาก มานูเอล เปเยรินี ตอนนั้นทีมเรือใบสีฟ้าก็พอจะประสบความสำเร็จมาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในระดับโคตรทีมแต่อย่างใด

 

ฤดูกาลแรกของเขาในอังกฤษยังถูกมองว่าล้มเหลวด้วยซ้ำ เพราะจบด้วยการเป็นทีมอันดับที่ 3 ตกรอบฟุตบอลถ้วยทั้งหมด เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เป๊ปจบฤดูกาลด้วยมือเปล่า ไม่มีถ้วยแชมป์แม้แต่ใบเดียว

 

หลายคนมองว่าเขาอาจจะเอาชื่อมาทิ้งที่อังกฤษด้วยซ้ำไป

 

แต่เวลาผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เป๊ปพาแมนฯ ซิตี้ กลายเป็นทีมอันดับ 1 ของอังกฤษ แทบจะผูกขาดแชมป์พรีเมียร์ลีกถาวร โดยมีเพียงลิเวอร์พูลที่สอดแทรกได้หนเดียวในฤดูกาล 2019/20 นอกนั้นทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์กวาดแชมป์หมด โดยที่นับถ้วยอื่นๆ แล้ว ซิตี้คว้าแชมป์ไปแล้ว 15 รายการ ในเวลา 7 ฤดูกาลด้วยกัน

 

รวมถึงการสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมที่ 2 ที่เป็น ‘เทรเบิลแชมป์’ สามารถกวาดแชมป์ใหญ่ครบ 3 รายการ คือ พรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ได้ในฤดูกาลเดียว หลังจากที่มีเพียงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำได้เป็นทีมแรกในปี 1999 หรือเมื่อ 24 ปีที่แล้ว

 

เป๊ป กวาร์ดิโอลา ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลายเป็น ‘The Genius of Everything’ ได้อย่างไร?

 

มาลองหาคำตอบกัน

 

เป๊ป กวาร์ดิโอลา

 

จินตนาการสำคัญกว่าทุกสิ่ง

 

สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา กลายเป็นโค้ชที่แทบจะไร้คู่ต่อกรในโลกของเกมฟุตบอล คนที่ทำให้ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน, โชเซ มูรินโญ หรือแม้แต่ เจอร์เกน คล็อปป์ ต้องยอมรับนั้นอยู่ในคำพูดของ โยฮัน ครอยฟ์ เจ้าของสมญา ‘นักเตะเทวดา’ Visionary นักปราชญ์ลูกหนังผู้ล่วงลับ ซึ่งเป็นบรมครูของเป๊ป

 

“เขาเป็นโค้ชที่มีจินตนาการสูงที่สุดในโลกของฟุตบอล”

 

จินตนาการของเป๊ปอยู่ล้ำหน้าทุกคนในวงการมาก มากในระดับที่ในช่วงแรกที่เขารับตำแหน่งในทีมบาร์เซโลนาเมื่อปี 2008 ลูกทีมยังมองว่าเขาบ้าหรือเปล่า พูดอะไรออกมา

 

หนึ่งในคนที่ออกมาบอกเล่าประสบการณ์คือ บิคตอร์ บัลเดส อดีตผู้รักษาประตูบาร์ซาในยุคนั้น “ผมจำบทสนทนาแรกกับเขาได้อยู่เลย เราคุยกันในห้องทำงานของเขาที่คัมป์นู เขามีกระดานแท็กติกพร้อมกับแม่เหล็กเล็กๆ 2 ตัวที่แปะไว้โดยอยู่นอกกรอบเขตโทษฝั่งละด้าน แล้วเขาก็ถามผมว่า นายรู้หรือเปล่าว่านักเตะสองคนนี้คือใคร?

 

“ผมตอบไปว่านี่คือเซ็นเตอร์แบ็กไง ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าเขากำลังพูดถึงอะไรอยู่ แต่เขาก็พูดต่อว่า เวลาที่นายได้บอล นี่คือตำแหน่งที่ฉันอยากให้พวกเขาอยู่ ตอนนั้นผมคิดว่าเขาบ้าแน่ๆ ก่อนที่เขาจะบอกว่า นายจะต้องส่งบอลให้สองคนนี้ แล้วจากตรงนี้นี่แหละที่เราจะเริ่มสร้างเกมกัน”

 

บัลเดสยอมรับว่าตอนนั้นเขาคิดว่าเป๊ปบ้าไปแล้ว เพียงแต่ด้วยความที่เขาก็มีความบ้าอยู่ในตัวเหมือนกัน ก็เลยรู้สึกคุยไปคุยมาแล้วรู้เรื่องอยู่ เขาเลยบอกเป๊ปว่า “แต่กองหลังต้องกล้ามากนะที่จะรับบอลตรงนี้” ก่อนที่เป๊ปจะตอบว่า “ไม่ต้องห่วง นั่นมันงานของฉัน”

 

และนั่นคือจุดเริ่มต้นฟุตบอลในแบบของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของเกมฟุตบอลสมัยใหม่ในปัจจุบัน ที่ทีมสมัยใหม่จะเริ่มการสร้างเกมจากแดนหลังขึ้นมา และเริ่มเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นในไม่กี่ปีที่ผ่านมา

 

โดยที่อย่าลืมว่า เป๊ปคิดมาได้ตั้งแต่ 15 ปีที่แล้ว และตอนนี้เกมฟุตบอลของเขาก็หนีทุกคนไปอีกแล้วด้วย…

 

เป๊ป กวาร์ดิโอลา

 

ครูที่เด็กไม่รัก

 

แต่จินตนาการอย่างเดียวมันไม่พอหรอก เพราะสิ่งที่จะทำให้ทีมฟุตบอลทีมหนึ่งประสบความสำเร็จได้คือ ความสามารถของคนที่เป็นโค้ชที่จะต้องถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวให้กับลูกทีมให้ได้ เพื่อที่จะนำไปปฏิบัติได้จริงในเวลาแข่งขัน

 

เรื่องนี้คือสิ่งที่วัดความสามารถและความแตกต่างในระดับของโค้ชเลย

 

และเราพอจะบอกได้ว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา น่าจะเป็นโค้ชที่สอนลูกทีมได้เก่งที่สุดคนหนึ่ง เพราะนักฟุตบอลที่ถูกส่งลงสนาม ไม่ว่าจะตัวจริงหรือตัวสำรอง ต่างก็สามารถเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ทำตามหน้าที่และคำสั่งที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัด

 

เพียงแต่ก่อนจะเล่นได้ในระดับนี้ ทุกคนแทบจะเกลียดเป๊ปเลยทีเดียว

 

นั่นเป็นเพราะกุนซือสมองเพชรคนนี้เป็นคนประเภท Perfectionist ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ ทุกรายละเอียดในการเล่นจะต้องเป๊ะตามอย่างที่เขาคิดเท่านั้น ดังนั้นในเวลาฝึกซ้อม เป๊ปจะเป็นคนที่เคร่งเครียดและจริงจังอย่างมาก

 

“เอาใหม่”, “เริ่มใหม่”, “ทำอีกที” คือคำที่จะได้ยินบ่อยที่สุดจากเขา

 

การทำงานแบบนี้ใช้พลังสูงมาก โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงการที่เขาต้องคุมทีมที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ฝีเท้าระดับโลกมากมาย ซึ่งนักฟุตบอลเหล่านี้แน่นอนว่าย่อมมีอีโก้สูงที่จะผลักดันให้ตัวเองก้าวมาถึงจุดนี้ได้ การที่จะทำให้นักเตะเหล่านี้ยอมรับและเชื่อฟังคำสั่งได้ นั่นหมายถึงเป๊ปต้องใช้พลังมหาศาลในการกำราบนักเตะเหล่านี้

 

ไม่ใช่ทุกคนที่จะทนเขาได้ และต่อให้ทนได้ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะทนตลอดไป เพียงแต่ถ้าใครทนความเข้มงวดจุกจิกของเป๊ปได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะสามารถพัฒนาการเล่นไปได้อีกขั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้นักเตะจะรู้ตัวดีเมื่อเวลาผ่านไป

 

นักเตะของเป๊ปหลายคน ต่อให้แยกทางกันไปแล้วก็ยังรักและเคารพอยู่ เพราะครูใจร้ายคนนี้แหละที่ทำให้พวกเขาได้ดี

 

เป๊ป กวาร์ดิโอลา

 

Champion’s Mentality ทีมนี้พี่ต้องชนะ         

 

ย้อนกลับไปในตอนที่เป๊ปเข้ารับตำแหน่งในทีมแมนฯ ซิตี้ ตอนนั้นพวกเขาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกมาแล้ว 2 สมัยในยุคของ โรแบร์โต มันชินี (ในแบบดราม่าที่สุด) และ มานูเอล เปเยกรินี

 

ปัญหาคือ หลังปีที่ได้แชมป์ ผลงานของซิตี้จะตกลงอย่างมีนัยสำคัญ เหมือนในฤดูกาล 2015/16 ซึ่งเป็นปีก่อนที่เขาจะเข้ามาคุมทีม ปีนั้นซิตี้ทำได้แค่เบียดเข้าป้ายได้ไปแชมเปียนส์ลีกแบบฉิวเฉียด

 

เป๊ปรู้ดีว่าแมนฯ ซิตี้ ยังต้องทำอะไรอีกมากเพื่อที่จะไปอยู่ในระดับเดียวกับแมนฯ ยูไนเต็ด, เชลซี, ลิเวอร์พูล รวมถึงยอดทีมในยุโรปอย่างเรอัล มาดริด, บาร์เซโลนา, ยูเวนตุส และบาเยิร์น มิวนิก พวกเขายังขาดสิ่งที่เรียกว่า Winning Culture และ Champion’s Mentality

 

ความรู้สึกว่าทีมจะต้องเป็นผู้ชนะและชนะเท่านั้นไม่ว่าจะลงแข่งสนามไหน รายการไหน ต้องเต็มที่ทุกนัดที่แข่ง ห้ามย่อหย่อน แม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้

 

ว่าแล้วในการประชุมทีมครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง เป๊ปก็เรียกทุกคนมารวมกัน ก่อนที่จะเปิดคลิปวิดีโอในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล ซึ่งแมนฯ ซิตี้ เสมอกับสวอนซี 1-1

 

ในคลิปที่เป๊ปเปิดนั้นเป็นคลิปหลังเกมจบลง โดยมีภาพของ เควิน เดอ บรอยน์ กองกลางดาวรุ่งในเวลานั้นที่ดีใจกับการที่ทีมได้ไปแชมเปียนส์ลีก แม้จะไม่ได้ดีใจจนกระโดดตัวลอย แต่ก็ยังชูมือขึ้นฟ้าด้วยความยินดี

 

คำถามของเป๊ปคือ “ทำไมพวกนายถึงไม่ไปดีใจด้วยกันกับเดอ บรอยน์” ประหนึ่งว่าทำไมถึงไม่มีใครดีใจกับความสำเร็จของทีม แม้มันจะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ตาม

 

จากจุดนั้นเองที่ไม่ว่านักเตะคนไหนก็ตามที่เข้ามาอยู่ในทีมของเป๊ป ทุกคนจะต้องเข้าใจว่านี่คือทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ทีมที่ลงแข่งเพื่อชนะเท่านั้น ต่อให้ต้องเจออุปสรรคขวากหนามยากเย็นอย่างไร ก็ต้องคว้าเอาชัยชนะมาให้ได้ และต่อให้ชัยชนะจะเล็กจะน้อยอย่างไร มันก็มีความหมายทั้งนั้น

 

เหมือนในฤดูกาล 2017/18 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ 2 ของเขา ปีนั้นซิตี้ผงาดคว้าแชมป์ได้อย่างรวดเร็วก่อนจบฤดูกาลหลายนัด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วทีมอาจจะเบาเครื่องให้นักฟุตบอลได้พักสบายๆ บ้าง

 

แต่เป๊ปไม่ทำแบบนั้น เขายังคงให้ทีมเล่นอย่างเอาจริงเอาจัง โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การคว้าแชมป์ให้ได้ด้วยคะแนน 100 คะแนน ซึ่งสุดท้ายก็ทำได้จริงๆ

 

สิ่งเหล่านี้ถูกปลูกฝังมาเรื่อยๆ ผ่านการต่อสู้ที่ยากลำบากไม่ว่าจะกับลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกที่ต้องเบียดกันถึงนัดสุดท้ายถึง 2 ครั้ง และในแชมเปียนส์ลีกที่ผิดหวังมานับไม่ถ้วน

 

สุดท้ายจิตใจที่มุ่งมั่นก็ทำให้พวกเขาคว้าชัยชนะได้เสมอ

 

เป๊ป กวาร์ดิโอลา

 

ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง

 

สำหรับคนที่เคยประสบความสำเร็จ เป็นเรื่องปกติที่คนเหล่านั้นจะเชื่อมั่นในแนวทางที่ตัวเองเคยทำไว้แล้วได้ผล

 

ปัญหาคือโลกเราเปลี่ยนแปลงทุกวัน คนที่เคยตามหลังก็พร้อมที่จะค้นหาคำตอบใหม่ๆ เพื่อที่จะเปลี่ยนมาเป็นผู้ชนะให้ได้

 

แต่ปัญหาสำหรับบรรดาคู่แข่งของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา คือ การที่เขาเป็นคนไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง และสนุกกับความท้าทายในการค้นหาคำตอบและแนวทางใหม่ๆ เสมอ

 

ตั้งแต่สไตล์การเล่นในแบบ Tiki-Taka ที่เป็นตำนานในทีมบาร์เซโลนา ถึงการเปลี่ยนแปลงบาเยิร์น มิวนิก ให้กลายเป็นทีมที่เก่งทั้งการครองบอลและวิธีการเล่นรวดเร็วสายฟ้าแล่บ ไปจนถึงการคิดค้นตำแหน่งใหม่ๆ ในเกมฟุตบอลอย่าง Inverted Full-Back ให้ ฟิลิปป์ ลาห์ม และ โจชัว คิมมิช

 

กับแมนฯ ซิตี้เอง เป๊ปได้ ‘อีโว’ ทีมมาแล้วหลายครั้ง จากยุคที่ใช้ความรวดเร็วของผู้เล่นอย่าง ลีรอย ซาเน, ราฮีม สเตอร์ลิง และศูนย์หน้ามหาประลัยอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร จนมาถึงการเริ่มค้นหาแนวทางใหม่เมื่ออเกวโรบาดเจ็บและโรยรา ซึ่งก็นำไปสู่การทดลองใช้ระบบการเล่นแบบ False Nine และดัน อิลคาย กุนโดกัน กองกลางตัวเชื่อมเกม ให้เข้าใกล้กรอบเขตโทษมากขึ้น เพราะมีความสามารถในการทำประตูและหาตำแหน่งได้ดี

           

ในฤดูกาลนี้เป๊ปเองเจองานยากไม่เบา เพราะทีมซื้อ เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ เข้ามา เพื่อหวังแก้ปัญหาเดิมๆ ที่มีในเรื่องการสร้างโอกาสได้มาก แต่ไม่มีคนใช้โอกาสเหล่านั้นทำประตูในฤดูกาลก่อนหน้า ซึ่งมีผลอย่างมากในเกมสำคัญที่ตัดสินกันด้วยรายละเอียดนิดเดียวอย่างในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (แบบที่เรอัล มาดริด มี คาริม เบนเซมา, วินิเซียส จูเนียร์ และ โรดริโก ที่พร้อมเล่นงานทุกครั้งที่เผลอ)

 

การมาของฮาลันด์หมายถึงการที่ซิตี้ต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบสไตล์การเล่นใหม่หมด เริ่มจากการเล่นอย่างวูบวาบและรวดเร็ว แต่ก็เป็นปัญหา เพราะคู่แข่งพร้อมเล่นงานกลับอย่างรวดเร็ว ทำให้เป๊ปต้องหาสูตรใหม่ไปเรื่อยๆ จนพบว่าต้องกลับมาเล่นเน้นการครองบอลแน่นอนเป็นหลัก แม้ว่าจะแลกกับการที่ฮาลันด์จะได้บอลน้อยลงไปในเกมก็ตาม

 

เพื่อจะเล่นแบบนั้น เป๊ปปรับระบบการเล่นใหม่ ใช้กองหลัง 3 คนบ้าง โดยลองให้ ริโค ลูอิส ไอ้หนูดาวรุ่งแบ็กขวาที่มีสกิลเซ็ตคล้ายกับลาห์มและคิมมิช ได้เล่นในตำแหน่งกองกลางแทน (แม้จะหมายถึงการดร็อป ไคล์ วอล์กเกอร์ รวมถึง ชูเอา คันเซโล ที่กลายเป็นแตกหักกันก็ตาม)

 

ก่อนที่จะเป็น จอห์น สโตนส์ ที่ได้ลองเล่นในตำแหน่งกองกลางร่วมกับโรดรี และกลายเป็นสุดยอดการค้นพบของฤดูกาล เพราะทำให้เกมของทีมสมดุลไหลลื่นขึ้นมาก แทบจะเป็นการเกิดใหม่ของกองหลังที่มีพรสวรรค์แต่ไม่สามารถก้าวไปสู่จุดที่ควรจะเป็นได้

 

เป๊ป กวาร์ดิโอลา

 

นอกจากนี้เป๊ปยังแก้ปัญหาเกมรับในแบบที่ไม่มีใครคิด ด้วยการอัดเซ็นเตอร์แบ็กลงไปยืนเป็นแบ็กโฟร์ ทำให้เกมรับของพวกเขาเหนียวแน่น ยากจะเจาะได้ แม้จะต้องแลกกับการสนับสนุนเกมรุกที่ลดลง แต่ก็มีเรื่องของความเหนียวแน่นและความแน่นอนด้วยวิธีการเล่นเข้ามาแทน

 

สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นได้ว่า เป๊ปเป็นคนที่คิดหาวิธีทำให้ทีมดีขึ้นตลอดเวลา ไม่เคยหยุด

 

และพอจะบอกได้ว่า สิ่งนี้เองที่ทำให้ทีมของเขาเป็น ‘ผู้ชนะ’ เสมอ โดยที่ไม่ว่าจะชอบเขาหรือไม่ เราต่างก็ต้องยอมรับในความสุดยอดนี้

 

ขณะที่ตัวเป๊ปเองก็เพิ่งได้รับรางวัลใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาเหมือนกัน

 

 

 
 
 
 
 
View this post on Instagram
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

A post shared by Julia Roberts (@juliaroberts)

 

 

ไม่ใช่ถ้วยหรือตำแหน่งอะไร พอดี จูเลีย โรเบิร์ตส์ ‘ผู้หญิงบานฉ่ำ’ จากเรื่อง Pretty Woman ดาราคนโปรดของเขา ส่งข้อความมาร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของ ‘เทรเบิลแชมป์’ ครั้งนี้ด้วย


“ขอแสดงความยินดีกับเป๊ป ที่พาทีมคว้าแชมป์ UCL ได้นะ #pep #soccermom”

 

แล้วเป๊ปก็กลายเป็นผู้ชายบานฉ่ำไปเรียบร้อย 🙂

 

ป.ล. ส่วนข่าวดีสำหรับแฟนทีมอื่นในพรีเมียร์ลีกคือ เป๊ปมีแผนที่จะอยู่กับซิตี้แค่หมดสัญญาที่ต่อไปถึงปี 2025 เท่านั้น!

 

อ้างอิง

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X