อัตราเงินเฟ้อของจีนยังคงอยู่ในระดับต่ำใกล้กับ 0% ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอ กระตุ้นให้ธนาคารกลางกำหนดขอบเขตในการผ่อนปรนนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นการเติบโต
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 0.2% จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นจาก 0.1% ในเดือนเมษายน นอกจากนี้ดัชนีราคาผู้ผลิตลดลง 4.6% เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงและอุปสงค์ภายในประเทศและต่างประเทศที่อ่อนแอ แต่ยังดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะลดลง 4.3%
ข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดกลายเป็นหลักฐานใหม่ที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนยังไร้วี่แววฟื้นตัวต่อไป หลังจากตัวเลขการผลิตที่หดตัว ตัวเลขการส่งออกที่ลดลงครั้งแรกในรอบ 3 เดือน และตลาดที่อยู่อาศัยที่เริ่มกลับมาซบเซาอีกครั้ง
“ความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดในจีนยังคงดำเนินต่อไป จากตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณอย่างสม่ำเสมอว่าเศรษฐกิจจีนยังคงชะลอตัว” Zhiwei Zhang หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Pinpoint Asset Management กล่าว
ที่ผ่านมานักเศรษฐศาสตร์และที่ปรึกษารัฐบาลต่างหารือถึงความเป็นไปได้ในการผ่อนปรนนโยบายการเงินให้มากขึ้น เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย
Liu Yuanchun อธิการบดี Shanghai University of Finance and Economics ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาให้แก่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง และอดีตนายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียง ระบุว่า จีนควรลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อบรรเทาภาระทางการเงินของธุรกิจเอกชนและกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง
ขณะที่ Nicholas Yeo Head of Equities, China Abrdn Group เปิดเผยภายในงาน ‘สูตรเด็ด by อเบอร์ดีน เจาะลึกจีน 360 องศา เปิดเคล็ดลับลงทุนจีนอย่างยั่งยืน’ เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า หุ้นจีนยังไม่หมดหวัง แม้ผลตอบแทนจะ Underperform ซึ่งเป็นเพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจยังน่าผิดหวัง แต่หากมองในแง่ดีนั่นหมายความว่าหุ้นจีนในตอนนี้มีราคาที่ถูก และบางบริษัทยังมีกำไรเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจจีนในปัจจุบันไม่ได้ยํ่าแย่ขนาดนั้น เพราะยังมีตัวเลขเชิงบวก เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (Services PMI) ยังอยู่ในระดับที่มากกว่า 50% อีกทั้งตัวเลขการเดินทางของคนจีนในวันหยุดยาวเพิ่มขึ้น 20% อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการทำธุรกรรมในภาคอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนจากภาคเอกชนยังอยู่ในระดับตํ่า เพราะผู้คนยังไม่มั่นใจกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
“มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีนจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน จึงมีความเป็นไปได้ว่าตัวเลขครึ่งปีหลังจะดีขึ้น ทางการจะต้องกู้ความเชื่อมั่นให้ภาคบริโภคในประเทศกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งต้องจับตาการประชุมโปลิตบูโรที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้” Nicholas เผย
อ้างอิง: