เจ้าหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติ (UN) รวมถึงทางการรัสเซีย ออกมายืนยันในวันนี้ (6 มิถุนายน) ว่าเหตุเขื่อนโนวา คาคอฟคา ระเบิดไม่ได้สร้างความเสี่ยงที่ร้ายแรงให้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียแต่อย่างใด
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังเขื่อนโนวา คาคอฟคา ถูกโจมตีพังเสียหาย ส่งผลให้มวลน้ำไหลทะลักจนเกิดน้ำท่วมเป็นวงกว้าง ขณะที่ทางการต้องสั่งเร่งอพยพประชาชนที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำดนิโปรเพื่อความปลอดภัย โดยทั้งยูเครนและรัสเซียต่างกล่าวโทษอีกฝ่ายว่าเป็นผู้ที่ก่อเหตุโจมตีเขื่อนแห่งนี้ ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียราว 150 กิโลเมตร
เขื่อนโนวา คาคอฟคา มีความสูงร่วม 30 เมตร และมีความยาว 3.2 กิโลเมตร สร้างขึ้นในปี 1956 บนแม่น้ำดนิโปร มีปริมาณกักเก็บน้ำเทียบเท่ากับทะเลสาบเกรตซอลต์ (Great Salt Lake) ในรัฐยูทาห์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นทะเลสาบเกลือที่ใหญ่ที่สุดในซีกโลกตะวันตก โดยเขื่อนแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ที่ส่งน้ำไปยังไครเมียและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียด้วย
ด้านทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) กล่าวว่า ทางองค์กรได้รับทราบถึงรายงานความเสียหายที่เขื่อนแห่งดังกล่าวแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ของ IAEA ซึ่งประจำการอยู่ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียกำลังเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจนถึงตอนนี้ยังไม่มีความเสี่ยงด้านนิวเคลียร์เกิดขึ้น
ขณะที่ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียซึ่งรัสเซียเป็นผู้แต่งตั้งนั้น ก็รายงานสอดคล้องกับ IAEA ว่าขณะนี้ยังไม่มีภัยคุกคามใดๆ เกิดขึ้น ส่วนระดับน้ำที่อยู่ในระบบหล่อเย็นก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง พร้อมระบุด้วยว่าน้ำที่จะหมุนเวียนเข้ามาในกระบวนการหล่อเย็นนั้นเป็นวงจรปิด ไม่ได้เชื่อมต่อกับน้ำในเขื่อนดังกล่าวโดยตรง
อย่างไรก็ตาม ทางการยูเครนได้ออกมาเตือนให้เฝ้าระวังถึงอุบัติภัยที่อาจเกิดขึ้นได้ หลังจากที่ประเทศเคยเผชิญโศกนาฏกรรมร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เมื่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลเกิดระเบิดเมื่อปี 1986
มิคาอิโล โปโดลยัค ที่ปรึกษาประธานาธิบดียูเครน กล่าวว่า “นี่เป็นอีกครั้งที่โลกตกอยู่ในความเสี่ยงของมหันตภัยนิวเคลียร์ เนื่องจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริซเซียสูญเสียแหล่งน้ำสำหรับระบบหล่อเย็น และความอันตรายก็กำลังเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว”
แฟ้มภาพ: ANDREY BORODULIN / AFP
อ้างอิง:
