นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา ดัชนี Nasdaq ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐฯ เป็นดัชนีหุ้นหลักที่ปรับตัวขึ้นได้มากที่สุดของโลกในปีนี้ อิงจากข้อมูลของ Investing.com โดยเพิ่มขึ้น 26.5% ส่วนดัชนีหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้มากที่สุดรองลงมาคือ MOEX ของรัสเซีย เพิ่มขึ้น 26.2% และ Nikkei 225 ของญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 20.8%
ล่าสุดเมื่อคืนนี้ (2 มิถุนายน) ดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นได้ 1.1% มาอยู่ที่ 13,240.77 จุด ขณะที่ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ อื่นอย่าง Dow Jones และ S&P 500 ปรับตัวขึ้นได้ 2.1% และ 1.5% ตามลำดับ
แรงหนุนต่อดัชนีหุ้นสหรัฐฯ มาจากการวิ่งขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่อย่าง Tesla Inc. และ Apple Inc. ที่ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน เช่นเดียวกับดัชนี Nasdaq นับเป็นการวิ่งขึ้นต่อเนื่องยาวนานที่สุดนับแต่ปี 2021 ขณะที่ดัชนี ‘ความกลัว’ หรือ VIX ลดลงสู่ระดับ 15 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของปีก่อนที่ระดับ 23 และการยอมรับความเสี่ยงที่มากขึ้นของนักลงทุนยังได้หนุนหุ้นขนาดกลางและเล็กในกลุ่ม Russell 2000 ให้ปรับตัวขึ้นด้วยเช่นกัน
Danielle Shay รองประธานของ Simpler Trading กล่าวว่า “การวิ่งขึ้นของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI กลายเป็นปรากฏการณ์” ขณะที่ธุรกิจด้านคลาวด์ต่างก็มีผลประกอบการดีขึ้นอย่างมาก
“มันชัดเจนว่าลูกค้าต่างกลั่นกรองการลงทุนในด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง และต้องตัดสินใจว่าเทคโนโลยีใดเป็นสิ่งจำเป็น หรือเทคโนโลยีใดเป็นแบบมีก็ดี”
Mark Hackett หัวหน้าฝ่ายวิจัยการลงทุนของ Nationwide กล่าวว่า “การวิ่งขึ้นอย่างโดดเด่นของตลาดหุ้นดึงให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาในตลาดมากขึ้น ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างทุ่มความสนใจไปที่เรื่อง Fed เงินเฟ้อ การจ้างงาน แม้ว่าความผันผวนจากเรื่องเหล่านี้จะลดลงไปมากแล้วก็ตาม ส่วนภาวะกระทิงที่เกิดขึ้นตอนนี้สนใจปัจจัยเหล่านี้น้อยลง สะท้อนถึงตลาดที่แข็งแกร่งมากขึ้น”
ด้าน Quincy Krosby หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนทั่วโลกของ LPL Financial กล่าวว่า การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไม่ได้หมายความว่าอุปสรรคหมดไปแล้ว ท่ามกลางความเสี่ยงมากมาย โดยเฉพาะการที่สหรัฐฯ จะออกขายตั๋วเงินคลังมูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อมาชดเชยเงินที่ใช้ไปในช่วงของการเจรจาขยายเพดานหนี้ ซึ่งอาจจะเป็นการดึงสภาพคล่องออกจากตลาดหุ้น
ขณะที่สัญญาณจากตลาดแรงงานที่ซบเซาในเดือนพฤษภาคม แม้ว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น อาจช่วยเสริมข้อโต้แย้งของ เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ว่า Fed ควรใช้เวลามากขึ้นในการประเมินข้อมูลอื่นๆ และแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไปก่อนการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง
โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 339,000 ตำแหน่ง ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สูงกว่าคาดการณ์ของตลาดที่ 190,000 ตำแหน่ง แต่ตัวเลขอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นจาก 3.4% เป็น 3.7%
การตอบสนองของนักลงทุนใน Wall Street ต่อตัวเลขด้านแรงงานดังกล่าวสะท้อนว่านักลงทุนกำลังเดิมพันว่า Fed ยังมีโอกาสจะปรับขึ้นดอกเบี้ยได้อีก แต่ไม่จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นในเดือนนี้
ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า “เรากลับมาอยู่ในจุดที่ความร้อนแรงของเศรษฐกิจที่มากเกินไป เป็นความเสี่ยงหลักที่ Fed จะต้องคำนึงถึง”
อ้างอิง:
