จีนแซงหน้าญี่ปุ่นขึ้นแท่นเป็นผู้ส่งออกรถยนต์เบอร์ 1 ของโลกไปเรียบร้อยแล้วในไตรมาสแรกปี 2023 จากการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า EV เข้าตีตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นครองตลาดอย่างยาวนาน
Nikkei Asia รายงานว่า อัตราการส่งออกรถยนต์ของจีนในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคมเพิ่มขึ้น 58% ถ้าเทียบกับปีก่อนหน้า ถือว่าเพิ่มขึ้นเป็น 1.07 ล้านคัน ขณะที่ญี่ปุ่นส่งออกรถยนต์ 9.5 แสนคัน เพิ่มขึ้น 6% จากไตรมาสแรกของปีก่อนหน้า (YoY) อ้างอิงจากรายงานของ Japan Automobile Manufacturers Association
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- EV จีนรุกหนักทั่วโลก ขณะที่ไทยขึ้นเป็น ‘ตลาดส่งออกหลัก’ อันดับ 3 รองจากเบลเยียมและสหราชอาณาจักร
- อินเดีย กำลังเสน่ห์แรงสุดๆ หลังค่ายรถ EV และ Big Tech เริ่มเบนเข็มออกจากจีน
- บิล แอคแมน เริ่มใจอ่อน เผย มองคริปโตในมุมบวกมากขึ้น ถึงขั้นเริ่มเข้าลงทุนบ้างแล้ว
สำหรับปัจจัยหนุนที่ทำให้จีนแซงญี่ปุ่นมาจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจีนถือเป็นผู้นำตลาด เนื่องจากมีข้อได้เปรียบในด้านต้นทุน โดยเฉพาะวัสดุสำคัญต่อการผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งจีนครองส่วนแบ่งมากถึง 80% ทำให้ผู้ผลิตจีนมีความมั่นคงภายใต้การแข่งขันสูง และที่ผ่านมาผู้ผลิตรถยนต์ในจีนใช้ EV เข้ามาชิงส่วนแบ่งการตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นครองตลาดมานาน
ทั้งนี้ การส่งออกรถยนต์ของจีนโดยรวมทั้งปี คาดว่ายอดการส่งออกรถยนต์จะอยู่ที่ 4 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อนหน้า ส่วนใหญ่แล้วเป็นประเภทรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของการส่งออกรถยนต์โดยรวมของจีน
หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2009 จีนได้แซงหน้าสหรัฐฯ ขึ้นเป็นตลาดรถยนต์ใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และถัดมาในปี 2022 จีนได้แซงหน้าเยอรมนี ขึ้นเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลก เรียกได้ว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในจีนเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ตามรายงานของสื่อจีนระบุว่า ปัจจุบัน Tesla เป็นบริษัทที่ส่งออกรถยนต์พลังงานใหม่มากเป็นอันดับต้นๆ อยู่ที่ 90,000 คัน รองลงมาคือ SAIC Motor อยู่ที่ 50,000 คัน และ BYD อยู่ที่ 30,000 คัน และการส่งออกส่วนใหญ่มุ่งโฟกัสไปที่ตลาดเบลเยียม ออสเตรเลีย รวมถึงไทย ที่มีความต้องการรถยนต์พลังงานใหม่หรือรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
อ้างอิง: