วันนี้ (27 เมษายน) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (สำนักงาน กกต.) ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เข้ายื่นหลักฐานเกี่ยวกับการซื้อเสียงเลือกตั้ง โดยทันทีที่ชูวิทย์เดินทางมาถึงได้ตะโกนว่า “ทำไมประเทศไทยราคาถูกจัง” พร้อมกับโชว์ธนบัตรใบละ 1,000 บาท จำนวน 3 ใบ
ชูวิทย์ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวในหัวข้อ ‘ประเทศไทยราคาถูก’ พร้อมอธิบายกระบวนการทุจริตซื้อเสียงในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่เป็นประเภทเกรดเอ มีการใช้เงินถึง 10 ล้านบาท ส่วนการจ่ายเงินมีทั้งหมด 5 ขั้นตอน คือ
- เรียกชาวบ้านมาประชุมย่อย จ่ายหัวละ 100-300 บาท
- เปิดปราศรัย จ่ายหัวละ 300-500 บาท แต่หากเป็นรถกระบะที่นำคนมาฟังการปราศรัย จ่ายคันละ 1,200 บาท
- เก็บบัตรประชาชนแล้วจ่ายเงินมัดจำให้ 500 บาท ซึ่งกรณีนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ โดยมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นตัวกลางในการซื้อเสียง
- เมื่อถึงวันเลือกตั้ง ให้นำบัตรประชาชนกลับไปพร้อมกับจ่ายเงินให้ 1,500 บาท
- เปิดประมูลเพื่อจ่ายเงินว่าพรรคใดจ่ายเงินมากกว่ากัน
ชูวิทย์กล่าวต่อไปว่า ระบบการเมืองบ้านเรายิ่งเน่าขึ้นทุกวัน เพราะใช้ทั้งพลังดูด พลังบีบ และแจกกล้วย ขนาดในสภาผู้แทนราษฎรยังมีการแจกกัน พร้อมกับเปิดข้อความสนทนาทางแอปพลิเคชัน LINE ที่มีหลักฐานการโอนเงินของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) คนหนึ่งในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ไปให้ชาวบ้านชายรายหนึ่ง ชื่อย่อ ‘อ.’ จำนวน 3,000 บาท พร้อมพิมพ์ย้ำว่า ‘เอาไว้ใช้นะคะ’
นอกจากนี้ชูวิทย์ยังเปิดข้อความสนทนาอีกหนึ่งราย ซึ่งเป็นของผู้สมัคร ส.ส. จังหวัดลำพูน ส่งข้อความไปหารองหัวหน้าพรรคแห่งหนึ่ง เพื่อของบประมาณหาเสียงเพิ่มเขตละ 3-5 ล้านบาท หากไม่ให้จะยุติการหาเสียง
ชูวิทย์กล่าวต่ออีกว่า ตอนนี้การซื้อเสียงในประเทศไทยถือว่าหนักที่สุด ยอดเงินพุ่งไปจนถึง 4,000 บาทแล้ว พร้อมประกาศว่า จากนี้ใครให้เงินชาวบ้านจำนวนเท่าไร ตนจะให้เพิ่มไปอีก 10 เท่า เช่น ได้มา 3,000 บาท ตนจะให้ 30,000 บาท
“ชายสีเทาจะให้ท่าน 10 เท่า ถ้ามีหลักฐานมายืนยัน แต่อย่าอัดคลิปมา ถ้าเป็นสลิปส่งมาได้ เพราะมีหลักฐานชัดเจน นักการเมืองคนไหนให้เท่าไร ชูวิทย์ให้ 10 เท่า” ชูวิทย์กล่าว
ชูวิทย์กล่าวย้ำว่า ขออย่าเข้าใจผิด ตนไม่ได้ยื่นแค่พรรคการเมืองหนึ่ง และเข้าใจว่าทุกพรรคก็มีการจ่ายเงิน กลุ่มที่น่าเป็นห่วงคือกลุ่มที่อยู่ต่างจังหวัด เพราะเงิน 3,000 บาทเป็นสิ่งมีค่า ทำให้มีชีวิตอยู่ได้หลายวัน