วานนี้ (17 เมษายน) นอท-พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หัวหน้าพรรคเปลี่ยน พร้อมด้วย ณัฐชนน อาภาศรีรัตน์ โฆษกพรรค ได้ Kick Off เปิดนโยบายไรเดอร์ ซึ่งเป็นนโยบายในการดูแลไรเดอร์หลังจากที่ได้ร่วมพูดคุยปัญหาต่างๆ ของผู้ขับขี่ไรเดอร์ ก่อนที่จะเปิดนโยบายไรเดอร์อย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 22 เมษายนนี้ ที่สเตเดียม วัน ในเวลา 20.00 น.
พันธ์ธวัชกล่าวว่า วันนี้ได้ไปพูดคุยกับผู้ขับขี่ไรเดอร์พบว่าปัญหาค่าตอบแทน ค่ารอบลดลง และมีการบังคับช่วงเวลาวิ่งบริการให้ไม่สามารถทำเป็นอาชีพเสริมหรือทำเป็นอาชีพประจำได้ และปัญหาไม่ได้รับสิทธิแรงงานขั้นพื้นฐาน ซึ่งปัญหานี้รวมไปถึงผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้างหรือวินมอเตอร์ไซค์ พ่อค้า แม่ค้า โดยพรรคเปลี่ยนมีนโยบายปรับปรุงพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ให้ทันสมัย เช่น อนุญาตให้รถจักรยานยนต์ขึ้นสะพานและลงอุโมงค์ได้ ซึ่งในอดีตพบว่ารถจักรยานยนต์ซีซีน้อยแรงบิดไม่แรงเพียงพอในการขึ้นสะพานหรืออุโมงค์แคบ แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีทันสมัย รถแทบจะบินขึ้นสะพานได้แล้ว
ส่วนค่ารอบวิ่งของไรเดอร์นั้น เห็นว่าควรจะทำให้เป็นราคากลางมาตรฐานเดียวกับค่าแท็กซี่มิเตอร์ อาจจะเริ่มต้นที่ 40 บาทและบวกเพิ่มตามระยะทาง เนื่องจากเป็นบริการขนส่งอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้แรงงานคนในประเทศ ก็ควรจะได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกับแท็กซี่ และดึงเข้ามาเข้าสู่ระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 และ 39 เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน เพราะคนกลุ่มนี้ถือเป็นแรงงาน และเพิ่มความคุ้มครอง พ.ร.บ.รถจักรยานยนต์ให้มีความทันสมัยและได้รับความคุ้มครองมากขึ้น คนที่ประกอบอาชีพบนท้องถนนมีความเสี่ยงภัย แต่การคุ้มครองไม่ได้รับอย่างเต็มที่
สำหรับนโยบายเพื่อไรเดอร์และชาวสองล้อนั้น ได้แก่
- สิทธิการเข้าถึงระบบประกันสังคมหรือการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือ 39 ทุกคนควรได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน
- เพิ่มความคุ้มครอง พ.ร.บ.รถจักรยานยนต์ให้มีความทันสมัยและเพิ่มความคุ้มครองมากขึ้น
- ประกันอุบัติเหตุสำหรับผู้ขับขี่ไรเดอร์ อาชีพนี้มีความเสี่ยงสูง แต่ยังได้รับความคุ้มครองน้อย ซึ่งเห็นว่าแนวทางอาจจะเป็นการจ่ายคนละครึ่งระหว่างรัฐและผู้ขับขี่ไรเดอร์ เพิ่มความคุ้มครองกรณีรถเสียหาย บาดเจ็บ
- เป็นตัวกลางในการเจรจากับบริษัทผู้ประกอบการเรื่องราคากลางค่ารอบเริ่มต้น
- ให้สิทธิไรเดอร์ กลุ่มอาชีพอิสระเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยถูก เพื่อนำไปซื้อเครื่องมือทำกิน หรือรถจักรยานยนต์ผ่านธนาคารโอกาส
พันธ์ธวัชยังได้ตอบคำถามคนที่ติดตามการชมไลฟ์ของพรรคเปลี่ยนว่า หากได้เป็นรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีควรจะดำเนินการอย่างไรกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐว่า ส่วนตัวเห็นว่าไม่ควรมีคนรวย คนจน สวัสดิการแห่งรัฐทุกคนต้องได้รับเท่ากัน แต่คนรวยควรเสียภาษีมากกว่าคนจน ทุกคนมีหนึ่งสิทธิหนึ่งเสียงเท่ากัน ต้องไม่แยกคนจน คนรวย และไม่ควรมีบัตรคนจน และไม่ควรภูมิใจกับคำว่าบัตรคนจน
ส่วนราคาลอตเตอรี่จะสมเหตุสมผล เป็นไปตามกลไกตลาด ราคาถูกหรือแพงกว่า 80 บาทแต่ไม่มาก คาดว่าจะประชาชนจะได้รับประโยชน์มากกว่าที่เป็นอยู่ ย้ำว่าตนเองต้องการดูแลอาชีพคนขายลอตเตอรี่ เพราะสร้างรายได้ให้กับประเทศกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท ขณะนี้กำลังโดนรัฐรังแกโดยยึดโควตาจากรายย่อยไปเพิ่มในระบบดิจิทัล อีกทั้งเห็นว่าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลพิมพ์หวยชุด 18 ใบ 1 ล้านชุด เพราะอยากเอาชนะเอกชน อยากให้มีคนถูกรางวัลเยอะๆ เพื่อนำไปประชาสัมพันธ์ ส่วนตัวเห็นว่าเป็นยุคตกต่ำของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ไม่สามารถแก้ราคาหวยแพงแล้วยังก๊อบปี้เอกชน
ส่วนจุดยืนทางการเมืองจะร่วมกับพรรคเพื่อไทย หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือพรรคพลังประชารัฐ ในกรณีที่พรรคเหล่านั้นจัดตั้งรัฐบาลได้ พันธ์ธวัชกล่าวว่าต้องดูว่าพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้รับคะแนนจากประชาชนเป็นอันดับหนึ่งได้ ตนก็จะร่วมรัฐบาลด้วย ถือว่าเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด แต่ต้องได้คะแนนเสียงมากพอจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ไม่นับรวมสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โดยจุดยืนคือรัฐบาล และรัฐบาลต้องมาจากการเลือกตั้ง 100% อย่างไรก็ตาม หากออกมาเป็นสูตรประหลาด แล้วรวมกันแก้รัฐธรรมนูญตัดอำนาจ ส.ว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรีออกได้ ก็จำเป็นต้องเข้าร่วมเพื่อปิดสวิตช์ ส.ว.
“สมมติลุงป้อมบอกจะจับมือเพื่อไทยแล้วปิดสวิตช์ ส.ว. ผมเข้านะ ผมถือว่ายอมเจ็บเล็กน้อยเพื่อแก้ปัญหาระยะยาว แต่ถ้าลุงป้อมบอกจับมือลุงตู่ ส.ว. ยังคงมีต่อไป ผมไม่เอา อันนี้น่าจะได้ความชัดเจนที่สุดแล้วที่ผมเคยพูดมา” พันธ์ธวัชกล่าว