แม้ Apple Watch Ultra ออกมาได้พักใหญ่ แต่เราคิดว่าคงไม่ช้าเกินไปที่จะมาเล่าให้ฟังว่าทำไมผู้เขียน ในฐานะคนที่ใช้ Apple Watch มาทุกรุ่น ถึงเปลี่ยนใจจาก Apple Watch Series 8 ไปสู่ Apple Watch Ultra ที่ทาง Apple ตั้งใจออกมาจับกลุ่มพรีเมียมสมาร์ทวอทช์สำหรับสายเอ็กซ์ตรีมโดยเฉพาะ แม้ราคาจะสูงถึงเรือนละ 31,900 บาท
สิ่งที่ต่างจาก Apple Watch รุ่นอื่นๆ
Apple Watch Ultra มาพร้อมหน้าจอขนาด 39 มิลลิเมตร ที่ทั้งใหญ่และหนาที่สุดในบรรดา Apple Watch ทั้งหมด ทั้งวัสดุยังทนทานที่สุดด้วย เพราะตัวเรือนทำจากไทเทเนียมและเซรามิก ส่วนหน้าจอทำจากแซฟไฟร์แข็งแกร่ง มาในสไตล์แบนเรียบเป็นเหลี่ยมคม ดูเท่ดีไปอีกแบบ แต่สิ่งที่ทำให้สมาร์ทวอทช์รุ่นนี้สะดุดตาที่สุด ได้แก่ การเพิ่มปุ่ม Digital Crown หรือเม็ดมะยมขนาดใหญ่ที่ใช้ขณะทำกิจกรรมได้สะดวกดี และปุ่ม Action Button สำหรับเข้าฟีเจอร์โปรดเร่งด่วน
โดยรวมแล้วในบรรดาสมาร์ทวอทช์ในตระกูล Apple Watch ที่ออกมาทั้งหมด ก็มี Apple Watch Ultra เนี่ยแหละที่มีหน้าตาฉีกจากรุ่นก่อนๆ ดูเท่และดุดันที่สุด แต่…ก็ต้องแลกมากับขนาดที่ใหญ่โต หนา หนัก และอาจจะใหญ่เกินข้อมือผู้หญิง หรือคนที่ข้อมือเล็กไปสักหน่อย แต่เรากลับชอบที่มองเห็นหน้าจอได้ชัดเจนดี สั่งการง่าย มีความแม่นยำแม้กดในขณะออกกำลังกาย
เกิดมาเพื่อสายลุยและนักกีฬา
ต้องบอกว่าฟีเจอร์พื้นฐานสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันที่มีอยู่ใน Apple Watch Series 8 ก็มีอยู่ในรุ่นนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการตามติดเรื่องสุขภาพ การนอน ความเครียด ฯลฯ แต่อย่างที่บอกว่า Apple Watch Ultra ออกแบบมาเพื่อจับกลุ่มเอ็กซ์ตรีม ดังนั้นฟีเจอร์ของรุ่นนี้จึงเหนือกว่า อัดแน่น และตอบโจทย์คนที่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง นักดำน้ำ นักกีฬา นักผจญภัย รวมถึงคนที่รักการออกกำลังกายทุกประเภท
มี GPS ที่มีความแม่นยำ กันหลงได้ เช่น ใช้ดำน้ำลึก 40 เมตร และได้มาตรฐาน WR100 ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก การแสดงผลหลังวิ่งก็สามารถทำได้อย่างน่าประทับใจ เมื่อเทียบกับสมาร์ทวอทช์จากแบรนด์มือถือเจ้าอื่นๆ โดยรวมถึงข้อมูลต่างๆ ที่ตรวจจับได้ค่อนข้างเป๊ะ ไม่ค่อยเพี้ยน จึงถือเป็นนาฬิกาที่ใส่เรือนเดียวจบ ทั้งวิ่งมาราธอน ว่ายน้ำ ดำน้ำ เดินป่า เทนนิส หรือเข้าคลาสฟิตเนสต่างๆ
สมาร์ทวอทช์ที่เน้นความปลอดภัยของผู้สวมใส่
จริงๆ ไม่ใช่เฉพาะ Apple Watch Ultra แต่ระยะหลัง Apple ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้สวมใส่ Apple Watch ทุกรุ่น เริ่มตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นอย่าง SE มาจนถึงรุ่นไฮเอนด์สุดอย่าง Apple Watch Ultra สิ่งที่ให้มาคือฟีเจอร์ช่วยเหลือยามฉุกเฉิน เช่น ฟีเจอร์ตรวจจับการล้ม ฟีเจอร์ Crash Detection เวลาที่เราประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ นาฬิกาสามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวของอุบัติเหตุ ก่อนแจ้งไปยังบริการฉุกเฉินให้รีบช่วยเหลือเราโดยด่วน หรือฟีเจอร์ Siren ที่ตัวนาฬิกาจะส่งเสียงดังเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ
4 เหตุผลที่เทใจให้ Apple Watch Ultra
- ด้วยราคาที่สูงเกินหน้าเกินตารุ่นอื่นๆ แต่ต้องบอกว่าราคามันมาพร้อมความสามารถที่มากกว่ารุ่นอื่นๆ ด้วย เพราะถ้าคุณเป็นสายเอ็กซ์ตรีมหรือเล่นกีฬาเป็นประจำอยู่แล้ว คุณน่าจะมี Apple Watch หนึ่งเรือนไว้ใส่ในชีวิตประจำวัน และมีนาฬิกาแบรนด์สปอร์ตอีกเรือนที่ใส่สำหรับทำกิจกรรมโดยเฉพาะ แต่ Apple Watch Ultra สามารถตอบโจทย์ทั้งสองอย่าง ทำให้เราไม่ต้องสลับเรือนไปมา
- แบตเตอรี่อึดมาก เรียกได้ว่าอยู่นานที่สุดในบรรดา Apple Watch ซึ่งบางครั้งเราเองยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าชาร์จไฟครั้งล่าสุดเมื่อไร เพราะแบตยังไม่หมดสักที ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับ Apple Watch รุ่นก่อนหน้า
- ดีไซน์สวยเกินหน้าสมาร์ทวอทช์อื่นๆ อันนี้อาจจะเป็นเหตุผลส่วนตัว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อเทียบในสายนาฬิกาเอ็กซ์ตรีมหรือสปอร์ต งานดีไซน์และความพรีเมียมของ Apple Watch Ultra ครองใจคนรักงานมินิมัลอย่างเราที่สุด
- มองเห็นง่าย สั่งการง่ายด้วย Always On และขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่า สว่างกว่า มองเห็นได้ดีกว่าเมื่ออยู่ในที่แดดจ้า ทำให้เราไม่มีปัญหากับการมองหน้าจอในที่กลางแจ้งอีกต่อไป รวมถึงปุ่มกดที่เพิ่มเข้ามาก็ช่วยชีวิตเราในบางสถานการณ์ที่ Touch Screen ทำได้ไม่ถนัดนัก
ปัจจุบัน Apple Watch Ultra รุ่น GPS + Cellular
ราคาอยู่ที่ 31,900 บาท ใครสนใจยังหาซื้อได้ที่ตัวแทนจำหน่าย Apple ทุกสาขา