วันนี้ (24 มีนาคม) ที่ศูนย์เยาวชนหลักสี่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) สกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมดูแลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวก่อนการปราศรัยย่อย ถึงกรณีที่ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ท้องเสียกะทันหันจึงไม่ได้มาร่วมงานในเย็นวันนี้ ว่าวานนี้ (23 มีนาคม) ยังได้มีการพูดคุยกันในเรื่องการเตรียมงานในวันนี้ และเมื่อสักครู่ตอนที่ตนเดินทางก่อนถึงงานนั้นได้รับแจ้งว่า ศ.ดร.นฤมลไม่สบายมาก กำลังไปหาหมอที่โรงพยาบาล ตนจึงได้ให้กำลังใจไปแล้ว ส่วนการแถลงข่าวสละสิทธิ์ไม่สมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อของพรรคเมื่อช่วงเช้าที่พรรคพลังประชารัฐ ตนเองได้ติดตาม และทราบเรื่องตั้งแต่เมื่อคืนว่าจะมีการแถลงข่าว รวมถึงได้ทราบรายละเอียดทั้งหมดพร้อมกับทุกคน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ ศ.ดร.นฤมล เป็นผู้รับผิดชอบในพื้นที่ กทม. ประกาศสละสิทธิ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อนั้นจะกระทบพื้นที่ที่ ศ.ดร.นฤมลดูแลหรือไม่ สกลธีกล่าวว่า ระบบที่วางไว้นั้นค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว ไม่ว่า ศ.ดร.นฤมล หรือตนเองไม่อยู่ ก็สามารถดำเนินตามกระบวนการไปต่อได้ เพราะเรามีผู้สมัครครบแล้ว ส่วนเรื่องเวทีปราศรัยกิจกรรมต่างๆ ก็เรียบร้อย ทำให้ระบบสามารถดำเนินไปต่อได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พื้นที่ที่ ศ.ดร.นฤมล รับผิดชอบได้ดึงคนรุ่นใหม่เข้ามา เมื่อมีเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นว่าที่ผู้สมัครจะรู้สึกเคว้งหรือไม่ สกลธีกล่าวว่า ไม่ เพราะพื้นที่ใน กทม. ตั้งแต่ตนและ ศ.ดร.นฤมลเข้ามา ได้พูดคุยกับผู้สมัครทั้ง 33 คนแล้ว และผู้สมัครมาจากหลายหลายพื้นที่ มีทั้งคนที่แนะนำมา แต่เมื่อรวมเป็นทีมกรุงเทพฯ แล้วก็ขอให้เป็นทีมกรุงเทพฯ ถึงแม้ตนและ ศ.ดร.นฤมลไม่อยู่ ทีมทุกคนสามารถไปต่อได้ และตอนนี้ทุกคนมีกำลังใจที่ดี
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า สัดส่วนของว่าที่ผู้สมัครที่อยู่ในความดูแลของ ศ.ดร.นฤมลเยอะหรือไม่ สกลธีกล่าวว่า วัดกันลำบาก เพราะตอนที่มีการจัดผู้สมัคร ทั้งตนและ ศ.ดร.นฤมลก็ได้ช่วยกันดูแล จึงเป็นเรื่องที่พูดลำบากว่าคนไหนคือคนของ ศ.ดร.นฤมล และคนไหนคือคนของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพรวมมากกว่า
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณี ศ.ดร.นฤมลนั้นถือว่าเป็นความขัดแย้งกันในผู้บริหารพรรค ซึ่งจะสอดคล้องกับนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้งหรือไม่ สกลธีกล่าวว่า คิดว่าไม่ใช่ความขัดแย้ง ซึ่งอย่างที่ ศ.ดร.นฤมลกล่าวไว้ว่าท่านอยากเปิดโอกาสให้กับเด็กรุ่นใหม่เข้ามาทำงานการเมืองบ้าง และคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ตนเองก็ยังไม่รู้ว่าได้ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่เท่าไร แต่ก็ตั้งใจ และได้บอกกับ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไว้ว่าอยากจะมาทำพื้นที่ให้ และหลายๆ คนในพรรคก็คิดเหมือนกัน เราทำงาน และผลออกมาอย่างไรค่อยว่ากันอีกที แต่การที่จะออกเพราะเรื่องน้อยใจนั้นมองว่าไม่น่าจะมี
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในพื้นที่กรุงเทพฯ โซนเหนือตั้งเป้าอย่างไร สกลธีกล่าวว่า เป็นเขตที่ตนเองคุมตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าฯ กทม. ก็ได้มีการควบคุมโซนนี้ จึงคาดหวังค่อนข้างมาก แต่การแข่งขันนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในโซนนี้อาจเป็นพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย แต่เราก็เคยมี ส.ส. ทางฝั่งพรรคพลังประชารัฐมาตลอด จึงมีความหวังเหมือนเดิม และที่เลือกจุดยุทธศาสตร์จุดนี้เป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯ โซนเหนือก็เพราะว่าเคยมี ส.ส. ในเขตนี้มาแล้ว และฐานการสนับสนุนของคนที่เชียร์พรรคพลังประชารัฐก็ยังหนาแน่น มาร่วมงานในวันนี้กว่า 2,000 คน มองว่าไม่ใช่จำนวนน้อย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ผลตอบรับของคนในพื้นที่เป็นอย่างไร เนื่องจากการเลือกตั้งซ่อมครั้งที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐไม่ประสบความสำเร็จ สกลธีกล่าวว่า การเลือกตั้งซ่อมครั้งนั้นเป็นเรื่องของตัวบุคคลมากกว่า แต่ครั้งนี้เราส่งคนที่เป็นที่รัก คนที่อยู่กับตนตั้งแต่เริ่มเล่นการเมือง เหมือนเป็นตัวตายตัวแทนของตัวเอง และยังทำพื้นที่มากว่า 16-17 ปี ซึ่งได้รับความรักจากคนในพื้นที่ไม่น้อยไปกว่าใคร แต่การแข่งขันใน กทม. เรื่องกระแสก็มีส่วนสำคัญ 70-80% ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าแนวทางหลังจากนี้กระแสของพรรคจะดีขึ้นหรือไม่