วันนี้ (7 มีนาคม) ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ฝ่ายนโยบาย ให้ความเห็นต่อกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องหนังขุนพันธ์ 3 ที่ถูกลดรอบฉายจากโรงหนังของเครือธุรกิจเครือหนึ่งว่า การลดรอบหนังเพื่อกีดกันหนังของคู่แข่งไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศที่มีการบังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้า เท่ากับเปิดโอกาสให้เกิดการเอาเปรียบคู่แข่ง
“คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ต้องเข้ามาดู สอบสวนข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร มีการกีดกันภาพยนตร์คู่แข่งจริงหรือไม่ ถ้าทำผิดจริงก็ต้องลงโทษตามกฎหมาย หรืออาจต้องพิจารณาบังคับแยกธุรกิจการสร้างภาพยนตร์กับโรงฉายหนังไม่ให้เป็นเจ้าเดียวกัน” ศิริกัญญากล่าว
ศิริกัญญากล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์การผูกขาดของโรงหนังไทยถือว่ารุนแรงมาก เพราะในประเทศเรามีเจ้าของโรงหนังรายใหญ่ในตลาดเพียงแค่ 2 เจ้าใหญ่ ซึ่งคนทำหนังก็แทบไม่มีทางเลือกมากอยู่แล้ว แต่เจ้าของโรงหนังรายใหญ่ยังขยายธุรกิจระดับต้นน้ำ คือบริษัทค่ายภาพยนตร์ ซึ่งเป็นคนให้ทุนทำหนังเสียเอง จึงอาจนำมาสู่การค้าที่ไม่เป็นธรรมกับคู่แข่ง เมื่อโรงหนังกับค่ายหนังเป็นเจ้าของเดียวกัน ก็สามารถใช้อำนาจกำหนดจำนวนรอบฉายเพื่อกีดกันไม่ให้เจ้าอื่นมาแข่งกับหนังของตัวเองได้ แต่กฎหมายแข่งขันทางการค้าของประเทศไทยดูเหมือนจะไม่ทำงาน
“เมื่ออำนาจในการกำหนดรอบฉายอยู่ที่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ คนทำหนังก็ไม่สามารถรับประกันได้เลยว่าหนังที่ทำมาจะได้รอบฉายจากโรงหนัง ทำให้คนทำหนังที่ต้องการผลิตเนื้อหาที่หลากหลายไม่กล้าลงทุน ผลสุดท้ายเนื้อหาของหนังก็กลับไปเป็นแบบเดิม” ศิริกัญญากล่าว
สำหรับการแก้ปัญหา ศิริกัญญาเสนอว่าพรรคก้าวไกลมีนโยบายอย่างน้อย 2 เรื่องที่จะทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้กว้างขวาง หลากหลาย และเป็นธรรมได้
เรื่องแรกคือทลายการผูกขาดในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ บังคับใช้กฎหมายแข่งขันทางการค้าอย่างจริงจัง จัดการผู้ประกอบการที่กินรวบตลอดทุกขั้นตอนการผลิต
“อีกเรื่องที่น่าสนใจคือเสนอให้มีการกำหนดสัดส่วนเวลาฉายขั้นต่ำสำหรับคนทำหนังไทยรายเล็กและหนังอินดี้ เพื่อให้คนทำหนังรายอื่นที่ต้องการสร้างภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาหลากหลายได้มีพื้นที่ในการนำเสนอภาพยนตร์ต่อประชาชน จะอยู่รอด-ไม่รอดให้คนดูเป็นผู้ตัดสิน” ศิริกัญญากล่าว