วันนี้ (23 กุมภาพันธ์) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตลิ่งชัน ศาลนัดสอบข้อเท็จจริงโจทก์คดีหมายเลขดำ อท.23/2566 ที่ รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ยื่นฟ้อง พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) รวมทั้งชุดจับกุมและ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) กับพวก รวม 7 คน เป็นจำเลย ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, ความผิดต่อเสรีภาพ, ทำพยานหลักฐานเท็จฯ, เจ้าพนักงานแกล้งให้ต้องรับโทษ บุกรุก ซ่องโจร ผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
รัชฎาใช้เวลาในการสอบคำให้การข้อเท็จจริงประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นได้ให้สัมภาษณ์ระบุว่า วันนี้ศาลถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของการยื่นฟ้อง เช่น ความสัมพันธ์ เคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่ ทั้งทางเจ้าหน้าที่และทางชัยวัฒน์ และรายละเอียดเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ
สำหรับตนและชัยวัฒน์รู้จักกันมา 10 กว่าปี สำหรับเรื่องความขัดแย้งไม่มี มีเพียงการที่ตนตั้งคณะกรรมการสอบการละเมิดของชัยวัฒน์เรื่องการทุจริตปลูกป่า ประเด็นการละเมิดที่เกิด ตนและกรมอุทยานฯ เป็นผู้เสียหาย ผู้ฟ้อง มีการสั่งตั้งกรรมการสอบชัยวัฒน์
ในเรื่องนี้ตนก็ถูกร้องเรียนว่าตั้งกรรมการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ในข้อเท็จจริงคดีที่เกิดใกล้จะหมดอายุความ ครบ 10 ปีในวันที่ 29 มีนาคม 2566 ถ้าถึงวันนั้นคดีนี้จะไม่สามารถทำอะไรได้ ซึ่งถ้าผลสรุปเป็นเช่นนั้น ถ้าตนไม่ตั้งคณะกรรมการสอบ ตนก็จะถูกตั้งข้อหาอาญา มาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ฯ และต้องชดใช้แทนชัยวัฒน์
รัชฎากล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาเรื่องทางวินัยของชัยวัฒน์ ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเรียกสอบมาแล้วเป็นเวลา 5 ปี ทางกรรมการข้อเท็จจริงชี้มูลว่าชัยวัฒน์ผิดวินัยร้ายแรง ส่วนเรื่องทางอาญา กรรมการสอบได้เสนอว่าให้กรมอุทยานฯ แจ้งความดำเนินคดีอาญากับชัยวัฒน์ แต่ก็ยังไม่ได้มีการปฏิบัติอะไร
กรณีเงินที่พบในที่เกิดเหตุ รัชฎากล่าวว่า ส่วนหนึ่งที่พบเป็นเงินส่วนตัว บรรยากาศวันนั้น อยู่ดีๆ เจ้าหน้าที่บุกเข้าไปในห้องและขอตรวจ ตนเองจึงเรียกเจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติกรเข้ามา เพราะในเรื่องกฎหมายตนไม่ค่อยรู้เรื่อง ส่วนตัวยังไม่ได้ตรวจดูซองเงินที่ระบุชื่อไว้ด้านหน้า เพราะตั้งแต่เช้ามีงานทำบุญ
“แต่สำหรับซองพวกนั้น ผมยอมรับว่ามีผู้นำเข้ามาให้จริง แต่เพื่อเช่าพระพุทธรูปและมีมาร่วมทำบุญโครงการพ่อแม่อุปถัมภ์ ซึ่งโครงการดังกล่าวมีการดำเนินการมาหลายปี ในโครงการนี้ภาคเอกชนร่วมบริจาคมาแล้วกว่า 6 ล้านบาท เงินส่วนที่พบเป็นการขอระดมให้ทุกคนสนับสนุน เพราะตามหลักโครงการนี้มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 30 ล้านบาท โครงการนี้คือค่าเลี้ยงดู ค่าอาหาร ของสัตว์ที่เป็นของกลางที่ทางเจ้าหน้าที่ตรวจยึดมาได้” รัชฎากล่าว
ในส่วนของการรับเงิน รัชฎายืนยันว่า เป็นเรื่องปกติของข้าราชการที่จะต้องผ่านผู้บังคับบัญชาเป็นคนดูแล ไม่มีในส่วนของค่าน้ำร้อนหรือค่าน้ำชา ส่วนที่ชัยวัฒน์โต้แย้งว่าการสร้างพระพุทธรูปหรือเช่าพระพุทธรูปแล้วเสร็จไปนานแล้ว ตนขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ยังมีพระที่ยังไม่ได้เช่าอีกร้อยกว่าองค์
ทั้งนี้ การที่เดินทางมายื่นฟ้องฯ เป็นการเรียกความยุติธรรมให้กับตัวเอง เรื่องนี้ต้องขอเรียกคืนภาพลักษณ์ เพราะสิ่งที่เกิดเป็นการใส่ความ ซึ่งเรื่องที่ชัยวัฒน์นำไปแจ้งความ ตนอยากถามกลับว่าตำรวจได้ตรวจสอบหรือไม่ว่าเป็นเงินส่วนใด
รัชฎากล่าวอีกว่า อยากให้ได้ฟังคลิปเสียงวันที่บุกจับกุมที่ถูกลบออกไปก่อนเผยแพร่ ในระหว่างคลิปเสียงนั้น ตนได้ปฏิเสธตลอดว่าไม่มี ไม่เอา ให้เอาไป ไม่ต้อง ในวันนั้นตนดูใบแจ้งความและคิดเสมอว่ามันเป็นไปไม่ได้
ในระหว่างนี้ตนยังไม่ได้ไปชี้แจงกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพราะยังไม่มีการเรียกตัว แต่ก็พร้อมที่จะไปทุกที่ที่มีการเรียก ไม่มีอะไรอยากฝากบอกกับชัยวัฒน์เป็นพิเศษ คอยดูว่าอะไรเป็นอะไร ขอยืนยันว่าตนไม่เคยเรียกคุยเจ้าหน้าที่ไม่ให้ไปให้การกับตำรวจ แต่มีข้อมูลว่าฝ่ายของอุบลราชธานีมีการข่มขู่และสั่งให้การตามที่ต้องการ
ด้าน วราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ ทนายความกล่าวว่า ที่ผ่านมาแม้รัชฎาไม่มีการออกมาเคลื่อนไหว แต่ก็ดำเนินการมาโดยตลอด แต่กระบวนการเหล่านี้ก็ไม่สามารถเอามาเปิดเผยได้ ขอให้ไปพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม และทุกข้อหาทางรัชฎามีหลักฐานโต้แย้งกลับทั้งหมด โดยเฉพาะอยากให้ไปฟังคลิปเสียงขณะที่มีการพูดคุยระหว่างรัชฎาและผู้ถือซองเงินก่อนการจับกุมว่าพูดคุยอะไรกัน จะเป็นหลักฐานที่ตอบสังคมได้ดีที่สุดว่าเป็นการเรียกรับหรือไม่เรียกรับ หรือเป็นการเสนอให้ แล้วท่านปฏิเสธทั้งหมด
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางสอบโจทก์แล้วเห็นว่า กรณีโจทก์ยังบรรยายฟ้องไม่ชัดเจนสำหรับความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 164, 179, 200, 210, 310, 364 และ 365 เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม และเพื่อให้ได้รับความชัดแจ้งในข้อเท็จจริงแห่งคดี ให้โจทก์แถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ทั้งก่อนและหลังจากที่โจทก์ถูกจับกุมว่า โจทก์รู้จักกับจำเลยทั้งเจ็ดมาก่อนเกิดเหตุหรือไม่ มีสาเหตุโกรธเคืองกันหรือไม่ และโจทก์รู้จักเจ้าหน้าที่รัฐคนอื่นที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์จับกุมตามรายชื่อในบันทึกการจับกุมหรือไม่ มีสาเหตุโกรธเคืองกันหรือไม่
พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเกิดเหตุ ได้แก่ บุคคลที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุ จำนวนเงินที่เกี่ยวข้องกับการจับกุมโจทก์ และโจทก์ชี้แจงข้อเท็จจริงในขณะถูกจับกุมหรือไม่ อย่างไร พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากวันเกิดเหตุ คือโจทก์ดำเนินการอย่างไรบ้าง หลังจากถูกจับกุมแล้ว
หลังถูกจับกุม โจทก์ถูกดำเนินการทางวินัยหรือไม่ แล้วจำเลยทั้งเจ็ดมีพฤติการณ์ใดที่ทำให้โจทก์คิดว่าการดำเนินการให้โจทก์ถูกจับกุมนั้นเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาวันที่ 30 มีนาคม เวลา 09.30 น.