ความพ่ายแพ้ต่อทีมบ๊วยของพรีเมียร์ลีกอย่างเซาแธมป์ตันคาบ้าน นำไปสู่คำถามสำคัญของทีมเชลซีที่หลายคนอยากรู้คำตอบ
ทำไมสโมสรจึงยังไม่ปลด เกรแฮม พอตเตอร์ พ้นจากตำแหน่งผู้จัดการทีมสักทีนะ?
ไม่ใช่เพราะเชลซีเป็นทีมที่ใช้จ่ายผู้จัดการทีมสิ้นเปลืองมากที่สุดสโมสรหนึ่งนับตั้งแต่ยุคของ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทกโอเวอร์สโมสรเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ไม่ใช่อารมณ์ไม่ถูกใจไม่ชอบหน้า แต่เราว่ากันด้วยเหตุและผล
มีอย่างที่ไหนที่สโมสรที่มีการลงทุนอย่างมหาศาลมากกว่า 500 ล้านปอนด์ใน 2 รอบตลาดการซื้อขายล่าสุด แต่กลับเก็บชัยชนะได้แค่ 2 จาก 14 เกมในพรีเมียร์ลีกหลังสุด
เจ้าของสโมสรอย่าง ทอดด์ โบห์ลี และ เบห์แดด เอ็กห์บาลี ไม่กล้าที่จะปลดพอตเตอร์เพียงเพราะไม่อยากขึ้นชื่อว่าใจร้อนเป็นครั้งที่ 2 เหมือนตัดสินใจปลด โธมัส ทูเคิล หรือเพราะเหตุผลอื่นอีก?
เรื่องนี้สื่อใหญ่อย่าง Daily Telegraph ได้ลองวิเคราะห์เหตุผลที่น่าสนใจเอาไว้ทั้งหมด 5 ข้อด้วยกัน
1. เรื่องหลังม่านที่คนไม่รู้
เหตุผลอย่างแรกที่โบห์ลีและเอ็กห์บาลี รู้สึกว่า เกรแฮม พอตเตอร์ ยังสมควรได้รับโอกาสคือ เรื่องของการทำงานหนักอยู่หลังฉากที่คนทั่วไปมองไม่เห็น
ย้อนกลับไปในเกมกับเซาแธมป์ตัน เมื่อมีการประกาศไลน์อัพ 11 คนแรกออกมา เสียงบ่นจากแฟนบอลสิงห์บลูส์ก็กระหึ่ม เมื่อนักเตะกำลังหลักอย่าง รีซ เจมส์ และ ติอาโก ซิลวา ถูกดรอปจากการเป็นตัวจริง ซึ่งเรื่องนี้มองจากหน้าฉากแล้วจะชวนคิดว่าพอตเตอร์กำลังสับสนและเริ่มงงในการหา 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดหรือเปล่า
แต่ข้อเท็จจริงในเบื้องหลังคือการที่อดีตผู้จัดการทีมไบรท์ตันได้รับการแจ้งจากแพทย์สโมสรว่านักเตะในกลุ่ม เจมส์, ซิลวา รวมถึง ไค ฮาเวิร์ตซ์, ราฮีม สเตอร์ลิง และ มิไคโล มูดริก มีโอกาสจะบาดเจ็บสูงมากถ้าต้องออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมดังกล่าว โดยเฉพาะเจมส์, ซิลวา, ฮาเวิร์ตซ์ และมูดริก ที่จะเป็นการลงสนามนัดที่ 3
สำหรับผู้จัดการทีมบางคนที่เผชิญกับแรงกดดันอยู่อาจจะตัดสินใจที่จะเลือกเสี่ยงส่งนักเตะเหล่านี้ลงสนาม ซึ่งก็ไม่ผิด แต่พอตเตอร์เชื่อคำแนะนำจากทีมแพทย์ พักผู้เล่นชุดดังกล่าว ที่สุดท้ายก็ส่งผลร้ายเพราะทีมแพ้และตัวเองก็เผชิญกับแรงต่อต้านหนักขึ้นไปอีก
แต่สำหรับโบห์ลีและเอ็กห์บาลี การตัดสินใจของพอตเตอร์ที่เห็นประโยชน์ของสโมสรสำคัญกว่าการประกันตำแหน่งของตัวเองเป็นเรื่องที่น่ายกย่อง
2. น้ำแข็งที่มีไฟลุกข้างใน
คนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิด พอตเตอร์เองก็เจอคำถามหลายเรื่องจากทั้งแฟนบอล สื่อ ไปจนถึงเหล่ากูรูที่ผันตัวเองมาเป็นนักวิเคราะห์ลูกหนัง โดยหนึ่งในเรื่องที่หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันคือความไร้ซึ่งอารมณ์ของกุนซือผู้ที่นามสกุลเหมือนพ่อมดที่มีแผลเป็นบนหน้าผาก
จะเป็นในการแถลงข่าวหรือบนม้านั่งข้างสนาม เราแทบไม่เห็นการแสดงออกซึ่งอารมณ์หรือสีหน้าใดๆ จากผู้จัดการทีมวัย 47 ปีเลย
แต่มันไม่ได้แปลว่าเขาเป็นคนไร้อารมณ์ ในทางตรงกันข้ามจากแหล่งข่าวภายในของสโมสร พอตเตอร์เองก็ผิดหวังกับผลงานของทีมและลูกทีมเช่นกัน และมีการพูดกันอย่างตรงไปตรงมาในบทสนทนาที่หนักหน่วงกับทีมตลอด
เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่เจ้าของเชลซีประทับใจ เพราะไม่ต้องเห็นภาพของผู้จัดการทีมที่พร้อมจะโทษว่าความล้มเหลวที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของทุกคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ทูเคิลต้องกระเด็นจากตำแหน่ง
3. ผู้กล้า
หลายคนมองว่าเชลซีเดิมพันราคาแพงกับผู้จัดการทีมอย่างพอตเตอร์ เพียงแต่ในทางกลับกันผู้จัดการทีมคนหนุ่มเองก็เป็นฝ่ายที่ต้องเสี่ยงกับการรับงานที่ยากโคตรๆ อย่างการคุมเชลซีด้วยเหมือนกัน
ปกติแล้วผู้จัดการทีมระดับท็อปนั้นจะเลี่ยงโอกาสที่จะรับงานคุมทีมในช่วงกลางฤดูกาล ซึ่งตัวอย่างล่าสุดคือการที่ มาร์เซโล บิเอลซา ปฏิเสธที่จะรับงานคุมทีมเอฟเวอร์ตัน
เพียงแต่สำหรับพอตเตอร์แล้ว เขายอมทิ้งทีมที่ทุกอย่างลงตัวที่สุดกับชีวิตอย่างไบรท์ตัน เพื่อมาเริ่มต้นใหม่ไปพร้อมกันกับเชลซี และความกล้าหาญของเขาทำให้ฝ่ายบริหารของสโมสรเชื่อว่าผู้จัดการทีมคนนี้สมควรจะได้รับโอกาสในการทำงานอย่างน้อย 1 ฤดูกาลเต็ม แม้ว่าผลงานที่ผ่านมาจะยังไม่ดีเลยก็ตาม
อีกเหตุผลคือหากจะตัดสินใจปลดพอตเตอร์ในตอนนี้ ผู้จัดการทีมระดับท็อปคนไหนที่จะกล้าพอจะรับช่วงงานที่เหลืออีก 3 เดือนไหม?
4. เรือลำเดียวกัน ทิ้งกันได้อย่างไร
ตั้งแต่ที่โบห์ลีเข้ามาเทกโอเวอร์กิจการต่อจากอบราโมวิช เขาและฝ่ายบริหารก็ได้มีการประเมินเอาไว้แล้วว่ากระบวนการ ‘สร้างทีมใหม่’ จะใช้เวลายาวนานและเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอยู่แล้ว
พวกเขาประเมินเอาไว้ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงเชลซีได้ภายในระยะเวลา 1 ปี หรือ 3 รอบตลาดการซื้อขาย ซึ่งตอนนี้ผ่านไปแล้ว 2 ตลาด ยังเหลืออีก 1 รอบคือในช่วงซัมเมอร์ที่จะถึง โดยที่ต้องใช้เวลามากขนาดนี้เนื่องจาก ‘หลังบ้าน’ ของเชลซีค่อนข้างมีปัญหามากในยุคของทูเคิล ที่แหล่งข่าวระบุว่าถึงจะมีช่วงที่ทำผลงานได้ดี แต่ก็ทิ้งปัญหาเอาไว้ไม่น้อย
ฝ่ายบริหารของเชลซียังมองว่าพอตเตอร์เองเหมือนคนต้องรับเผือกร้อน หลายอย่างเขาก็ไม่ได้เป็นคนริเริ่มทั้งหมด เช่น จู่ๆ สโมสรก็เซ็นสัญญานักเตะใหม่เข้ามารวดเดียว 8 ราย โดยที่เขาต้องเป็นคนพยายามบริหารจัดการทำให้ทุกคนพอใจ
ดังนั้นลงเรือลำเดียวกันแล้วต้องไปด้วยกันให้ถึงที่สุดว่าอย่างนั้น
5. ถอดบทเรียนจากทีมที่ดีที่สุด
ถึงผลงานจะดรอปลงในฤดูกาลนี้ แต่แมนเชสเตอร์ ซิตี้คือทีมที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนสำคัญมาจากการที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา มีการทำงานร่วมกันกับ ซิกิ เบกิริสไตน์ ผู้อำนวยการสโมสรที่เคยอยู่ร่วมสโมสรบาร์เซโลนามาด้วยกัน
ในปีแรกเป๊ปก็สอบตกเหมือนกันกับซิตี้ แต่เพราะซิตี้ให้เวลาและโอกาสในการปรับจูนทุกอย่างเต็มที่ รวมถึงสนับสนุนในการเฟ้นหานักเตะในแบบที่เป๊ปต้องการ สุดท้ายทีมเรือใบสีฟ้าจึงกลายเป็นมหาอำนาจของวงการฟุตบอลอังกฤษ
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เชลซีนำมาถอดบทเรียน และทำให้มีการดึง พอล วินสแตนลีย์ ที่คุ้นเคยกับพอตเตอร์มาตั้งแต่ในทีมไบรท์ตัน มารับบทผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาของเชลซีร่วมกับ ลอเรนซ์ สจวร์ต ด้วยความหวังว่าทุกอย่างจะค่อยๆ หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้
และนี่คือเหตุผลทั้งหมดที่ Daily Telegraph มองว่าพอตเตอร์ยังคงปลอดภัยจากการอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการทีมเชลซี อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานี้ เพียงแต่หากทุกอย่างยังไม่กระเตื้องขึ้น บางทีเจ้าของสโมสรและฝ่ายบริหารของเชลซีอาจต้องกลับมาทบทวนกันใหม่อีกครั้ง
พอตเตอร์ ทำไมต้องเป็นเธอทุกทีเลยนะ!
อ้างอิง: