ความสนุกของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่อาจจะเหนือกว่าลีกอื่นในระดับ ‘Big Five’ ของยุโรปด้วยกันคือการที่คุณภาพของการแข่งขันในปัจจุบันค่อนข้างสูง ต่อให้เป็นทีมเล็กก็สามารถที่จะสามารถพลิกล็อกสร้างความประหลาดใจให้ทีมใหญ่ได้ตลอดเวลา
และความประหลาดใจนั้นสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
2-3 สัปดาห์ก่อนหน้านี้นักวิเคราะห์ลูกหนังระดับหัวแถวของวงการฟุตบอลอังกฤษต่างเริ่ม ‘เชื่อ’ แล้วว่าอาร์เซนอลของ มิเกล อาร์เตตา มีโอกาสและศักยภาพที่จะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ (2022/23) หลังจากที่พวกเขาผ่านด่านยาก 3 นัดติดได้อย่างสวยงาม
เริ่มจากการเสมอกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมที่ทำผลงานได้ดีและสม่ำเสมอที่สุดตลอดปี 2022 ก่อนจะเอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองที่เป็นขวากหนามมาโดยตลอดอย่างท็อตแนม ฮอตสเปอร์ได้อย่างสบายๆ และล้างตาเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมแรกและทีมเดียวที่เอาชนะพวกเขาได้ในช่วงครึ่งฤดูกาลแรก
การขาดหายของ กาเบรียล เชซุส ศูนย์หน้าชาวบราซิลที่บาดเจ็บติดพันจากช่วงฟุตบอลโลกดูเหมือนจะไม่เป็นปัญหาเมื่อ เอ็ดดี เอ็นเคเทียห์ กองหน้าดาวรุ่งสามารถก้าวขึ้นมาทดแทนได้อย่างพอดิบพอดี ในขณะเดียวกันทีมยังเสริมกำลังได้อย่างน่าสนใจด้วยนักเตะเกรดดีที่ใช้งานได้เลยอย่าง เลอันโดร ทรอสซาร์ด และจอร์จินโญ
อะไรก็ดูดีไปหมดในเวลานั้น
แต่แค่ 2 สัปดาห์สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงจากความปราชัยต่อเอฟเวอร์ตันอย่างสุดช็อก ก่อนที่จะถูก ‘ปล้น’ 2 คะแนนไปในเกมที่เสมอกับเบรนท์ฟอร์ด จากความผิดพลาดของ ลี เมสัน ผู้ตัดสิน VAR ที่ไม่ยอมตีเส้นในจังหวะประตูตีเสมอของทีม ‘The Bees’ ที่จากภาพช้าแล้วค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นจังหวะล้ำหน้า
มันจึงเป็นโอกาสทองที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้รอคอย เพราะความจริงหลังจากที่พ่ายท็อตแนม ฮอตสเปอร์แบบมีคำถามมากมาย ดูเหมือนโอกาสของพวกเขาจะปิดลงแล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะนี่คือทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา และนักเตะในทีมของเขาก็ยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิม
ซิตี้เอาชนะแอสตัน วิลลาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก 3-1 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ลดระยะห่างระหว่างพวกเขากับอาร์เซนอลเหลือแค่ 3 คะแนน
ความหมายของการไล่ประชิดทีมที่ไม่ยอมสะดุดเลยก่อนหน้านี้ มีมากเสียจนทำให้เป๊ปถึงกับบอกด้วยความกระหยิ่มใจว่า “ในที่สุดเราก็ขยับประชิดได้มากขึ้นเสียที”
มากกว่านั้นคือมันมีโอกาสที่พวกเขาจะขยับทาบแต้มเท่าพร้อมกับแซงหน้าขึ้นเป็นจ่าฝูงได้ หากบุกไปเอาชนะอาร์เซนอลได้ที่เอมิเรตส์ สเตเดียมในคืนนี้ ซึ่งจะเป็นศึกวัดแชมป์ครั้งแรกของฤดูกาลนี้หลังจากที่ทั้งสองทีมยังไม่มีโอกาสพบกันมาก่อน เนื่องจากเกมนัดแรกในช่วงเดือนตุลาคมถูกเลื่อนออกไปก่อนจากงานพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
ประสาเป๊ปที่มีความ ‘Psycho’ เล็กๆ สงครามจิตวิทยาระลอกแรกที่ถูกนำมาใช้คือการส่งข้อความถึงอาร์เซนอล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มิเกล อาร์เตตา ซึ่งเป็นอดีตคนข้างกาย
“อยากได้แชมป์? ก็มาสู้กันสิ แย่งไปให้ได้”
เรียกว่าท้ากันเห็นๆ
ถ้าอาร์เซนอลดีกว่า เก่งกว่า เอาชนะพวกเขาได้ในเกมคืนนี้ ก็ถือว่าดีพอที่จะเป็นแชมป์
แต่คำถามน่าสนใจที่ชวนคิดไปอีกขั้นคือ ถ้าหากอาร์เซนอลไม่ชนะในคืนนี้ ถ้าเสมอคงไม่เสียหาย เพราะระยะห่างยังเท่าเก่า แต่ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมามันจะหมายความว่าพวกเขาไม่ดีพอที่จะเป็นแชมป์หรือไม่?
เรื่องนี้ต้องบอกว่ามันเป็นได้ทั้ง ‘ไม่ใช่’ แต่ในเวลาเดียวกันก็อาจจะบอกได้ว่า ‘ไม่เชิง’ ครับ
ที่บอกว่าไม่ใช่ เพราะอย่างที่เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาแค่หลักสัปดาห์ ในระบบ 3 คะแนน การแพ้ใครสักนัดมันก็ไม่ดีหรอก แต่ไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายในระดับนั้น
ในการแข่งขันฟุตบอลลีก สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างลงไปเพื่อแลกกับชัยชนะเพียงเกมเดียว แต่เป็นการทำผลงานให้ดีสม่ำเสมอที่สุด และหากเกิดผิดพลาดแพ้ขึ้นมาก็จำเป็นที่จะต้องรีบลุกให้ไวที่สุด
นี่คือหลักการพื้นฐานของการที่จะเป็นแชมป์ลีก ซึ่งอาร์เตตาเองมีประสบการณ์จากการเคยเป็นมือขวาของเป๊ปมาก่อน เรื่องพวกนี้เขาเข้าใจดีครับ
แมนเชสเตอร์ ซิตี้เองก็ไม่ได้อยู่ในฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุด ในทางกลับกันทีมของเป๊ปก็กำลังเผชิญช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านในแบบเดียวกับที่ลิเวอร์พูลคู่ปรับสำคัญเผชิญ
นักเตะหลายคนในทีมถึงจุดอิ่มตัวและอยากเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่ และคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่หลังจบฤดูกาลนี้
อีกทั้งปัญหาใหม่ที่เป็นปัญหาใหญ่ในเวลานี้คือความลงตัวของระบบการเล่นที่ยังอยู่ในระหว่างการปรับจูนเพื่อให้กลับมาใช้งาน เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกครั้งยังไม่เรียบร้อยดีนัก ซึ่งนั่นทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้เองก็ไม่ได้อยู่ในร่าง ‘เครื่องจักรสังหาร’ ในแบบเดียวกับที่พวกเขาเป็นตลอดระยะเวลา 4-5 ฤดูกาลที่ผ่านมา
ดังนั้นต่อให้อาร์เซนอลหลุดถึงขั้นแพ้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะบอกได้ว่าพวกเขาไม่ดีพอสำหรับการลุ้นแชมป์ มันเร็วเกินไป
แต่ในอีกทางหนึ่ง การแพ้หรือไม่ชนะในเกมนี้มันก็ ‘ไม่เชิง’ ที่จะบอกว่าพวกเขาไม่ดีพอจะเป็นแชมป์
อย่างที่หลายคนรู้และเข้าใจครับว่าเกมในระดับวัดแชมป์แบบนี้คือ ‘โอกาส’ ที่สำคัญและมีความหมายอย่างยิ่ง
สิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับทีมที่ประสบความสำเร็จคือสิ่งที่เรียกว่า Winning Mentality หรือจิตใจของผู้ชนะ ซึ่งมันซื้อหาไม่ได้ จะได้มาก็จากการชนะ ชนะ และชนะเท่านั้น ซึ่งรวมถึงการที่ต้องสู้จนเอาชนะคู่แข่งโดยตรงให้ได้ด้วย
เพราะหากทำไม่ได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการ ‘สงสัย’ (Doubt) สงสัยในความสามารถของตัวเอง คำถามที่ไม่เคยถามในช่วงก่อนหน้านี้จะเกิดขึ้น หัวใจที่เคยหนักแน่นจะหวั่นไหว ใจมันจะแกว่ง
และมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมให้เกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาดในการแข่งกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ทีมคนบ้าที่พิสูจน์มาแล้วว่าพวกเขาพร้อมจะฉกฉวยโอกาสจากความผิดพลาดของคู่แข่งเพื่อแซงหน้าเข้าป้าย
ลิเวอร์พูลเจอมาแล้วในฤดูกาล 2018/19 และอีกครั้งในฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งการต้องบดบี้กับทีมแบบซิตี้นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าปรารถนาเลยแม้แต่น้อย
อาร์เซนอลและอาร์เตตาต้องแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาพร้อมที่จะยืนหยัดเพื่อสู้กับทีมแบบนี้ไปตลอดทาง ซึ่งโอกาสดีที่สุดที่จะพิสูจน์เรื่องนี้คือการเอาชนะซิตี้ให้ได้ในคืนนี้
เตะในบ้าน ในวันที่คู่แข่งยังห่างไกลจากจุดพีค (ซึ่งถ้าพีค ซิตี้สามารถโกย 3 แต้มยาวๆ ได้ทุกนัดเหมือนที่บดกับลิเวอร์พูลในช่วงที่ผ่านมา) ในวันที่ทีมยังแข็งแกร่งและไม่มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนมากนัก นี่คือเกมระดับ 6 แต้มไป-กลับที่สำคัญมาก
ถ้าไม่ชนะ ได้แค่ 1 แต้ม หรือหลุดไปถึงแพ้ขึ้นมา จะบอกว่าไม่มีผลก็ไม่ใช่ (อย่าลืมว่ามันอาจจะกลายเป็น Three-horse Race ได้ เพราะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็อยู่ไม่ไกล)
ต้องรอดูกันครับว่าสุดท้ายแล้วหลังจบ 90 นาทีผลจะออกมาเป็นอย่างไร โดยเฉพาะหากอาร์เซนอล ‘ไม่ชนะ’
แต่ถ้าหากอาร์เซนอลชนะได้ – และอาร์เตตา รวมถึงนักเตะทุกคนในทีมย่อมตระหนักดี
ผมคิดว่าคงไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกครับว่า ‘The Gunners’ นั้นคู่ควรกับโทรฟี่ที่พวกเขาห่างหายมานานนับจากยุค ‘The Invincibles’ หรือไม่