×

หรือจะฝันสลาย? ส่องแผนอินเดียผงาดสู่ ‘เศรษฐกิจใหญ่เบอร์ 3 ของโลก’ ท่ามกลางข่าวฉาวของ Adani Group

07.02.2023
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 MIN READ
  • IMF คาดว่าเศรษฐกิจอินเดียมีโอกาสเติบโตสูงสุดในโลกในปี 2023 นำหน้าประเทศตะวันตกที่กำลังเผชิญกับสภาวะกดดันทางเศรษฐกิจ และสงครามในยุโรป
  • รัฐบาลอินเดียหวังลดรายได้จากการเรียกเก็บภาษีให้ประชาชนมีเงินเหลือมากขึ้นในการบริโภคเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • อีกทั้งยังคาดหวังว่าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะใช้งบประมาณราว 10 ล้านรูปี หรือกว่า 1 ใน 4 ของปีงบประมาณ 2023-2024 จะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
  • อย่างไรก็ตาม การเติบโตของอินเดียอาจจะสะดุดลงได้ หลังจาก Adani Group บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีเครือข่ายธุรกิจครอบคลุมหลายอุตสาหกรรมของประเทศถูกตั้งข้อสังเกตว่าฉ้อโกง และถูกขนานนามว่าเป็น ‘การหลอกลวงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกธุรกิจ’

‘อินเดีย’ ขึ้นแท่นประเทศที่แนวโน้มเติบโตสูงสุดในโลก

ในปี 2023 ประเทศที่มีแนวโน้มเติบโตสูงที่สุดในโลกคือ อินเดีย จากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เติบโตสูงกว่าประเทศผู้นำด้านเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ และยักษ์ใหญ่อันดับสองอย่างจีน หรือแม้แต่ประเทศที่กำลังพัฒนาต่างๆ ในแถบเอเชีย 

 

ข้อมูลจาก IMF ระบุว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะเติบโตเฉลี่ย 2.9% ซึ่งลดลงจากปี 2022 ที่ 3.4% กลุ่มประเทศในแถบเอเชียนั้นมีศักยภาพที่จะเติบโตได้มากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศในกลุ่มยุโรปที่ยังคงติดอยู่ในภาวะสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน วิกฤตการขาดแคลนพลังงาน และนโยบายการเงินที่ตึงตัว ทำให้การเติบโตอาจอยู่แค่ 0.7% รวมถึงกรณีของสหรัฐฯ ที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง ฉุดรั้งเศรษฐกิจให้เติบโตเพียง 1.4% 

 

อีกหนึ่งปัจจัยกดดันต่อเศรษฐกิจโลกในปีนี้คือ อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่น่าจะสูงเฉลี่ย 6.6% ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อของอินเดียอาจจะต่ำกว่าที่ระดับ 5% 

 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง:


 

ความแตกต่างที่ทำให้อินเดียถูกมองว่าจะเติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ มาจากการฟื้นตัวของตลาดแรงงานที่กลับมาดีขึ้นกว่าก่อนการแพร่ระบาดของโควิด จากไตรมาส 3 ของปี 2022 ที่อัตราการว่างงานของคนอินเดียอยู่ที่ 7.2% น้อยกว่าไตรมาสเดียวกันในปี 2019 ที่ 8.3% 

 

จำนวนประชากรของอินเดียมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นแซงหน้าจีนขึ้นเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก สู่ระดับ 1.43 พันล้านคน หรือคิดเป็น 17% ของจำนวนประชากรโลก 

 

ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากฝั่งต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) ในอินเดียยังคงแข็งแกร่งจากกระแสเงินที่ไหลเข้ามาที่มีปริมาณสูงกว่าก่อนโควิด ต้องขอบคุณการปรับปรุงเชิงโครงสร้างและนโยบายต่างๆ ที่ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจทำงานง่ายขึ้น ส่งผลให้อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศที่น่าดึงดูดสำหรับธุรกิจต่างชาติที่จะเข้าไปลงทุนโดยตรงในอินเดีย อาทิ ธุรกิจด้านเภสัชกรรมและยาที่อินเดียมีบทบาทสำคัญในการผลิต ส่งออกผลิตภัณฑ์ยาทั่วโลก ซึ่งยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมนี้พุ่งทะลุ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อปลายปี 2022 ที่ผ่านมา

 

รัฐบาลอินเดียดึง ‘เทคโนโลยี’ กระตุ้นเศรษฐกิจ

อีกหนึ่งปัจจัยหนุนสำคัญต่อเศรษฐกิจอินเดีย คือการใช้งานเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมไปสู่ยุคดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เช่น แอปพลิเคชัน Aadhaar ที่ใช้ข้อมูลไบโอเมตริกซ์ เช่น ลายนิ้วมือและใบหน้าของผู้ใช้งาน มาช่วยปลดล็อกให้การส่งเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลถึงมือผู้รับได้แม่นยำผ่านฐานข้อมูล Aadhaar หรือการป้องกันการเลี่ยงภาษีของประชาชน

 

อย่างไรก็ตาม ประชาชนบางกลุ่มยังตั้งคำถามถึงความสามารถในสอดส่องหรือควบคุมจากหน่วยงานรัฐที่อาจละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานเกินไป ทั้งนี้ การใช้งานอีคอมเมิร์ซยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในอินเดีย โดยคาดว่าในปี 2023 จะมีมูลค่าการส่งออกสินค้าผ่านการซื้อทางออนไลน์สูงถึง 13,800 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับ 8,900 ล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

 

ตั้งเป้าเป็นเบอร์ 3 ผู้นำเศรษฐกิจโลก

อินเดียมีเป้าหมายต้องการจะขยับมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจอันดับ 3 ของโลกภายในปี 2030 โดยพรรคการเมืองของ Narendra Modi นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอินเดียเปิดเผยนโยบายก่อนการเลือกตั้งที่จะขยายเพดานรายได้ที่จะได้รับการยกเว้นภาษีของประชาชน จากเกณฑ์เดิม 5 แสนรูปีต่อปี หรือประมาณ 203,000 บาท เป็น 7 แสนรูปีต่อปี หรือประมาณ 285,000 บาท เพื่อเพิ่มการบริโภค

 

Modi หวังจะเรียกคะแนนเสียงจากประชาชนเพื่อจะดำรงตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 3 ผ่านนโยบายลดการเก็บภาษี รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ทำการประเมินอันดับของแต่ละประเทศโดยมีระดับของหนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักในการประเมิน หากหนี้ลดต่ำลงประเทศก็จะมีความน่าเชื่อถือจะมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่อินเดียกำลังให้ความสำคัญในการแก้ไข

 

แม้ว่าการปรับอัตราการเก็บภาษีจะทำให้รัฐบาลต้องยอมทิ้งรายได้บางส่วน แต่พวกเขามองว่าความศักยภาพในการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียในอนาคตอันใกล้จะสามารถเป็นรายได้ที่มาทดแทนจากส่วนที่หายไปได้ การวางแผนรายจ่ายปีงบประมาณ 2023-2024 มูลค่า 45 ล้านล้านรูปี หรือ 550,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับโครงการการลงทุนทางเศรษฐกิจต่างๆ จะสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชน และส่งผลบวกกับการบริโภคพร้อมช่วยให้ธุรกิจลงทุนมากขึ้น

 

ทั้งนี้ รัฐบาลอินเดียมีแผนที่จะควบคุม Budget Gap หรือช่องว่างความต่างของเงินที่สามารถใช้ได้กับรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นให้แคบลงที่ 5.9% ต่อ GDP ในปีงบประมาณหน้า ที่จะเริ่มนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2023 เป็นต้นไป จากเดิมที่ช่องว่างนี้เคยอยู่ที่ 6.4% ในปีงบประมาณ 2022 ซึ่งหากสามารถจำกัดตัวเลข Budget Gap ให้ต่ำลงได้ จะเป็นอีกตัวแปรสำคัญที่แสดงให้เห็นถึง ‘ความตั้งใจของรัฐบาลที่คำนึงถึงการบริหารจัดการงบการเงินของประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาว’ ช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความน่าดึงดูดทางการลงทุนในประเทศมากขึ้น

 

ทุ่ม 10 ล้านล้านรูปี พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน

Nirmala Sitharaman รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอินเดีย เปิดเผยว่า อินเดียยังมีโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะต่างๆ ที่ต้องพัฒนาพร้อมทั้งจะทุ่มงบ 10 ล้านล้านรูปี หรือเกือบ 1 ใน 4 ของแผนรายจ่ายในปีงบประมาณหน้าที่จะเริ่มนับตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศผ่านการพัฒนาโครงสร้างด้านการคมนาคม เช่น สนามบิน ท่าเรือ หรือถนนสายต่างๆ รวมถึงการบริโภคภายในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 

 

Abhishek Gupta นักวิเคราะห์เศรษฐกิจสำนักข่าว Bloomberg กล่าวเสริมว่า การลดการเก็บภาษีเปรียบเสมือนการเพิ่มอำนาจในการจับจ่ายของผู้คนที่จะเพิ่มการบริโภคภายในและเป็นหนึ่งในหัวใจในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย

 

เปิดชื่ออุตสาหกรรม ‘ผู้ชนะ-ผู้แพ้’ จากนโยบายรัฐบาล

จากกรณีที่รัฐบาลอินเดียปรับเพิ่มงบประมาณการใช้จ่าย 33% เป็น 10 ล้านล้านรูปี หรือราว 1.22 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่ง Bloomberg ประเมินว่าอุตสาหกรรมที่จะเป็นผู้ชนะมีทั้งหมด 7 กลุ่ม ได้แก่ 

 

  1. สินค้าเกษตร – คิดเป็นสัดส่วน 19% ของเศรษฐกิจอินเดีย โดยงบประมาณที่จะใช้สนับสนุนอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านรูปี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร และให้เงินทุนกับสตาร์ทอัพด้านการเกษตร 

 

  1. ท่องเที่ยว – เพื่อรับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นของการท่องเที่ยว อินเดียจะเลือก 50 สถานที่เป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมทั้งการพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อแนะนำข้อมูลในด้านต่างๆ  
  2. โครงสร้างพื้นฐาน – อินเดียจะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มอีกกว่า 50 โครงการสำหรับสนามบิน เฮลิคอปเตอร์ และโดรน รวมทั้งโครงการใหม่ๆ อีกนับ 100 โครงการ โดยเฉพาะระบบรางที่จะได้งบลงทุนมากถึง 2.4 ล้านล้านรูปี 

 

  1. ผู้เสียภาษี – ผู้เสียภาษีบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ไม่เกิน 7 แสนรูปีต่อปี จะไม่ต้องเสียภาษีภายใต้กฎเกณฑ์ใหม่ ขณะที่อัตราภาษีสูงสุดถูกปรับลดลงเหลือ 39% 

 

  1. เหล็กและซีเมนต์ – การลงทุนก่อสร้างที่อยู่อาศัย โครงสร้างพื้นฐาน ระบบราง จะส่งผลบวกต่อผู้ผลิตเหล็กและซีเมนต์

 

  1. ยานยนต์ไฟฟ้า – อินเดียจะสนับสนุนยานยนต์สีเขียวโดยการยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน 

 

  1. พลังงานสะอาด – งบประมาณจำนวน 3.5 แสนล้านรูปี จะถูกใช้ลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ 

 

ในอีกด้านหนึ่ง อุตสาหกรรมที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลอินเดีย ได้แก่ ยุทโธปกรณ์, บุหรี่, เครื่องประดับ, ขุดเจาะน้ำมัน และผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติ

 

ข่าวฉาว Adani อาจกระทบความฝันของอินเดีย

ทว่าความมุ่งหวังจะเป็นเศรษฐกิจดาวรุ่งใหม่เริ่มสั่นสะเทือนหลังจากข่าวฉาวของ Adani Group บริษัทยักษ์ใหญ่ของ Gautam Adani มหาเศรษฐีอินเดียที่มีธุรกิจครอบคลุมในแทบจะทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น การเงิน, อสังหาริมทรัพย์, ระบบน้ำประปา, ระบบจัดการข้อมูล, โลจิสติกส์, คมนาคม, การทหาร, พลังงาน รวมไปถึงอาหาร 

 

Adani กำลังตกที่นั่งลำบากเมื่อบริษัทถูกตั้งข้อสังเกตว่าฉ้อโกง ปั่นหุ้น และปลอมแปลงบัญชีมานานกว่า 10 ปี มูลค่าการปลอมแปลงประมาณ 2.18 แสนล้านดอลลาร์ นับว่าเป็นจำนวนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในบรรดาองค์กรขนาดใหญ่ โดยบริษัทที่ตั้งข้อกล่าวหานี้คือ Hindenburg Research ผู้เชี่ยวชาญการค้นหาข้อมูลที่ซับซ้อนและยากต่อการพบเจอจากแหล่งข้อมูลทั่วไป เช่น การปิดบังข้อมูลธุรกรรมและการรายงานข้อมูลทางการเงินที่บิดเบือนไม่ถูกตามหลักจรรยาบรรณ ได้ตรวจพบความผิดปกติของ Adani Group และทำการขาย Short (เดิมพันว่าหุ้นจะตกลง)

 

หลังจากที่มีข่าวฉาวออกมา Gautam Adani ที่เคยรวยอันดับ 3 ของโลกรองจาก Elon Musk และ Jeff Bezos สูญเสียความมั่งคั่งลงไปเกือบครึ่ง จาก 120,000 ดอลลาร์ เหลือเพียง 61,000 ดอลลาร์ 

 

Hindenburg Research เผยว่า “7 บริษัทหลักที่จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ในเครือ Adani นั้นมีมูลค่าสูงเกินจริงไปกว่า 85% หากพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน” และจำนวนหนี้สินที่มหาศาลทำให้ตอนนี้ Adani Group มีความเปราะบางทางการเงินอย่างมาก 

 

รายงานยังตั้งข้อกล่าวหาเพิ่มถึงสมาชิกครอบครัวหลายคนของ Adani มีการเลี่ยงภาษีและเกี่ยวข้องเรื่องการติดสินบน รวมถึงการคอร์รัปชันในอดีตที่ถูกสืบโดยคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์อินเดีย (SEBI) และการสร้าง Shell Corporation นอกประเทศหรือบริษัทที่ไม่มีทรัพย์สินหรือการดำเนินการทางธุรกิจของตัวเองอย่างชัดเจน 

 

แม้ว่าประเภทของบริษัทแบบนี้ไม่ได้ขัดต่อกฎหมายและมีการใช้งานอย่างถูกต้องเพื่อผลประโยชน์ทางภาษีหรือการลดความเสี่ยงการดำเนินธุรกิจในบางประเทศ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าก็มีกรณีที่จุดประสงค์ในการก่อตั้งคือเพื่อปกปิดธุรกิจที่อาจผิดกฎหมายหรือข้อมูลความลับของธุรกิจที่ไม่โปร่งใส Hindenburg อ้างว่ารายงานข้อกล่าวหาที่เขาทำขึ้นมาจากการสัมภาษณ์อดีตพนักงานระดับสูงของบริษัทและเอกสารนับพันฉบับ

 

แม้ว่า Adani Group จะออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาว่า “เป็นการผสมผสานของการเลือกใช้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง มีเจตนาร้าย และสร้างความเสื่อมเสียให้กับบริษัท” แต่ก็ไม่อาจเรียกความมั่นใจหรือเม็ดเงินลงทุนกลับมาได้ ด้วยขนาดที่ใหญ่และความเชื่อมโยงอย่างทั่วถึงของ Adani Group ทำให้ข้อครหาครั้งนี้สามารถที่จะเข้าไปพัวพันในด้านการเมืองได้เนื่องจาก Gautam และนายกฯ Modi ค่อนข้างมีความสัมพันธ์ที่สนิทกัน ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 Modi ได้ใช้เครื่องบินของ Adani Group ในช่วงที่เขาฉลองชัยชนะครั้งแรกกับการได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี

 

ภาพ: https://thewire.in/politics/who-paid-modis-chartered-flight-bills-asks-congress

 

ความกังวลเรื่องความเชื่อมั่นระดับประเทศก็อยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง “นี่มันคือความเสี่ยงอย่างมากเลย ไม่ใช่กับแค่ Adani Group แต่เป็นอินเดียทั้งประเทศ Hindenburg นั้นกำลังกล่าวอย่างเปิดเผยว่าผู้คุมกฎเป็นผู้ปกป้องคนที่ทำผิดแทนที่จะลงโทษคนเหล่านั้น และตลาดก็แสดงให้เห็นถึงบทลงโทษจากมูลค่าหุ้นกลุ่ม Adani หายไปกว่า 66,000 ดอลลาร์” Hemindra Hazari นักเศรษฐศาสตร์อิสระกล่าว

 

ในมุมของ Adani ออกมาตอบโต้รายงานของ Hindenburg ว่า “นี่เป็นการโจมตีที่คิดไตร่ตรองไว้แล้วต่อความเป็นเอกราช ความซื่อสัตย์ของหน่วยงานรัฐบาล ความมุ่งมั่นทะเยอทะยานของอินเดีย” 

 

หลังจากข่าวฉาวดังกล่าวแพร่สะพัดออกมา Adani ถูกขนานนามว่าเป็น ‘การหลอกลวงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกธุรกิจ’ 

 

ท้ายที่สุดแล้วการกล่าวหาครั้งนี้จะเกิดชื่อ ‘เสีย’ กับอินเดียอย่างแน่นอนไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง ถึงคราวที่ Modi คงต้องเลือกแล้วว่าจะเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาโดยการตามเก็บกวาดสะสางความไม่ชอบธรรมและสิ่งคลุมเครือ แต่ต้องแลกด้วยการบาดหมางกับพันธมิตรที่ทรงอิทธิพล หรือเพิกเฉยต่อข้อกล่าวหาและโต้กลับว่าเป็นเพียงการประสงค์ร้ายจากคนต่างชาติ แต่ก็เสี่ยงที่จะทำให้นักลงทุนเสียความมั่นใจในเสถียรภาพด้านกฎเกณฑ์ของประเทศ 

 

อ้างอิง:

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X