วันนี้ (12 มกราคม) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่สถานีตำรวจนครบาล (สน.) บางยี่ขัน ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน พา นายเอ (นามสมมติ) อายุ 35 ปี สามีของหญิงสาวที่ตกเป็นข่าวกรณีชู้สาวกับอดีตรองนายกรัฐมนตรี ชื่อย่อ ย. เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท. น่านนที บูรณะ รองสารวัตร (สอบสวน) สน.บางยี่ขัน เพื่อดำเนินคดีกับอดีตรองนายกรัฐมนตรี ชื่อย่อ ย. ข้อหาแจ้งความเท็จ กรณีที่อ้างว่าสูญเงินค่าสินสอดสู่ขอฝ่ายหญิงเป็นจำนวนกว่า 20 ล้านบาท
ษิทรากล่าวว่า วันนี้ตนมาแจ้งความดำเนินคดีกับอดีตรองนายกฯ ในเรื่องแจ้งความเท็จ และในเรื่องให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวน เรื่องการสู่ขอฝ่ายหญิงหรือมีการหมั้นกัน โดยไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง เชื่อว่าเป็นการแต่งเติมข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้าข้อกฎหมายและเพื่อให้ตนเองเรียกทรัพย์สินคืนจากฝ่ายหญิงได้ ซึ่งอดีตรองนายกฯ มีภรรยาที่จดทะเบียนอยู่ด้วยกันมาเป็น 10 ปีโดยตลอด นอกจากนี้กรณีให้เงินไปซื้อคอนโดมิเนียมก็ไม่ใช่เรื่องจริง โดยตนมีหลักฐานกรรมสิทธิ์รวมถึงทรัพย์สินต่างๆ ที่บอกว่าให้ฝ่ายหญิง ก็ไม่ใช่เรื่องจริง โดยหลักฐานกรรมสิทธิ์การซื้อคอนโดตั้งแต่ปี 2562 แต่อดีตรองนายกฯ เพิ่งมารู้จักกับฝ่ายหญิงเมื่อตอนปี 2565 ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินส่วนนี้อย่างแน่นอน
ษิทรากล่าวต่ออีกว่า ส่วนเงินที่อ้างว่าให้ฝ่ายหญิงก็ไม่มีหลักฐานการเบิกถอน และเชื่อว่าตัวเลขอาจจะมีการให้จริง แต่ไม่ถึงหลัก 10 ล้านบาท แต่มีการให้บ้างเพราะคบกับชู้รัก ซึ่งเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา ที่ตนได้ออกมาเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่าจะแถลงในวันที่ 9 มกราคม ปรากฏว่าทางอดีตรองนายกฯ ได้ใช้เล่ห์กลด้วยการพาภรรยาไปหย่าร้างเพื่อที่จะขอคืนทรัพย์สินที่มีการไปหมั้นกับฝ่ายหญิง โดยทำตัวเองให้โสด ซึ่งเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาตนทราบมาว่าทางอดีตรองนายกฯ ได้พาภรรยาไปจดทะเบียนหย่าที่สำนักงานเทศบาลเมืองสามพราน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 9 มกราคม ส่วนตัวมองว่าเป็นการจดทะเบียนหย่าเพื่อเปลี่ยนสถานะตัวเอง เพื่อใช้ในทางกฎหมายในการแจ้งความหรือเรียกทรัพย์สินต่างๆ คืนได้
“ส่วนข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ของอดีตรองนายกฯ จะไม่มีทางโซเชียลมีเดีย เนื่องจากเป็น VIP แต่เนื่องจากมีผู้หวังดีเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้แจ้งกับผมมาว่าก่อนหน้าที่ผมจะมาแถลงข่าว 1 ชั่วโมง ทางอดีตรองนายกฯ ได้ไปจดทะเบียนหย่าร้างกับภรรยาที่สามพราน ซึ่งผมก็นำหลักฐานตรงนี้มาแจ้งความกับพนักงานสอบสวนด้วย ควรออกมารับผิดชอบอย่างลูกผู้ชายว่าตนเองทำผิดพลาดก็จบแล้ว ไม่ใช่โยนความผิดให้คนอื่นโดนข้อหาร่วมกันฉ้อโกงเป็นขบวนการด้วย ซึ่งตัวพ่อของผู้หญิงมีคดีอื่นอยู่และไม่มาพบพนักงานสอบสวนอยู่แล้ว ทางอดีตรองนายกฯ จะรู้ดี และการที่ตำรวจมีความเห็นสั่งฟ้องในข้อหาร่วมกันฉ้อโกง เป็นเพียงความเห็นเบื้องต้น แล้วผมก็ได้ทำเรื่องขอความเป็นธรรมที่พนักงานอัยการไปแล้ว ไม่ใช่ว่าพอโดนคดีแล้วครอบครัวนี้จะมีความผิดเสมอไป” ษิทรากล่าว
ษิทรายังยืนยันด้วยว่าไม่มีพิธีสู่ขอและขอท้าว่าถ้าหากมีจริงมีญาติผู้ใหญ่หรือมีใครรับรู้บ้าง ส่วนกรณีของการตบทรัพย์ ซึ่งยังไม่มีการต่อรองใดๆ หากมีจริงคงมีหลักฐานมายืนยัน ส่วนทรัพย์สินที่บอกว่ามีจำนวนมากถึง 19 ล้านบาทนั้นเชื่อว่ามีการให้จริง แต่มูลค่าไม่ถึงขนาดนั้น
ส่วนก่อนหน้านี้ที่สามีของฝ่ายหญิงมาปรึกษาตน เนื่องจากทางสามีขอหย่ากับฝ่ายหญิงแต่ทางฝ่ายหญิงไม่ยอมหย่าด้วย ทางสามีเลยตอบว่าหากไม่ยอมหย่าก็จะฟ้องหย่าและฟ้องชู้คืออดีตรองนายกฯ ด้วย ทำให้ทางฝ่ายหญิงได้ไปบอกกับทางอดีตรองนายกฯ ซึ่งทางอดีตรองนายกฯ จึงเดินทางมาแจ้งความกลับทางฝ่ายหญิงด้วย
ส่วนประเด็นเรื่องคอนโดที่อดีตรองนายกฯ รายนี้อ้างว่าซื้อให้กับหญิงสาววัย 25 ปีรายนี้ ษิทรายืนยันว่าไม่เป็นความจริง พร้อมแสดงหลักฐานหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดย่านวงเวียนใหญ่ เขตคลองสาน กรุงเทพฯ ขนาดประมาณ 35 ตารางเมตร ซึ่งจดจำนองตั้งแต่ปี 2562 ก่อนที่ทั้งสองคนจะรู้จักและคบชู้กัน