วันนี้ (10 มกราคม) ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แถลงข่าวพร้อมเปิดคลิปวิดีโอกล้องวงจรปิดภายในผับจินหลิง เหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2565
ในคลิปปรากฏภาพพนักงานไม่น้อยกว่า 10 คน และบุคคลอื่นๆ เดินไปมาจำนวนมาก แต่ปัจจุบันปรากฏว่าจำนวนพยานในสำนวนคดีผับจินหลิงมีเพียงพนักงานเสิร์ฟ 2 คน ไม่มีพยานที่เป็นหญิงขายบริการ หรือบุคคลอื่นๆ ในที่เกิดเหตุอีก
ส่วนคลิปที่ 2 เป็นคลิปกล้องวงจรปิดบริเวณทางเข้าออกผับจินหลิง ซึ่งมีพนักงานคอยตรวจค้นร่างกายผู้ผ่านประตู จากภาพพนักงานละเว้นการค้นตัวหลานชายตู้ห่าว แม้จะเห็นว่าถือซองสีขาวเข้าไปในผับอย่างชัดเจน ซึ่งชูวิทย์ตั้งข้อสงสัยว่าซองดังกล่าวเป็นซองที่บรรจุยาเสพติด
แต่พนักงานจะตรวจอย่างละเอียดกับนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการ ซึ่งหนึ่งในนั้นพบยาเสพติดที่ตัว พนักงานได้เรียกผู้ดูแลผับมาพูดคุย ก่อนจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปในผับได้โดยไม่ดำเนินการอะไร
ต่อมาชูวิทย์เปิดแผนผังขบวนการผับจินหลิง ที่มี ชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว เป็นหัวหน้าขบวนการสูงสุด มีผู้ร่วมขบวนการรายสำคัญแยกย่อยออกมารวม 10 คน มีการแบ่งหน้าที่กันดูแลทั้งเรื่องเงินและเรื่องยาเสพติด ตอกย้ำการเป็นขบวนการที่มีเอกสารข้อมูลมัดตัวชัดเจน
ชูวิทย์ยังกล่าวถึงประเด็นการโยกย้ายตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีผับจินหลิงโดยตรงของ พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ว่าควรมีคำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ไปจนถึง 5 เสือโรงพัก (ตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาในสถานี) ด้วย ไม่ใช่ย้ายแค่ระดับปฏิบัติการอย่างที่ทำมาตลอด
ในช่วงหนึ่งของการแถลงข่าว ชูวิทย์กล่าวว่า ในวันที่ได้รับประทานอาหารร่วมกับ พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ตนได้สอบถามว่า จากนี้จะดำเนินการกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองต่อไปอย่างไร กระบวนการจะมีความชัดเจนเป็นรูปธรรมหรือไม่ รวมทั้งถาม พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ด้วยว่าจะดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนจีนสีเทาอย่างไร
“วันนี้ผมตั้งใจมาชำแหละเครือข่ายทุจริตคอร์รัปชัน ที่พบว่ามีกลุ่มทุน หน่วยงานรัฐ นักการเมืองคอยร่วมสนับสนุน ให้ประชาชนได้เข้าใจอีกครั้ง ถ้าประชาชนสังเกตทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่มีการจับกุมผับจินหลิง ที่ผ่านมาตำรวจทำงานตามหลังผมที่ออกมาเคลื่อนไหวตลอด และปัจจุบันอัยการสูงสุดยังไม่ได้สั่งให้คดีนี้เป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติ 100 เปอร์เซ็นต์ สำนวนคดียังเป็นของตำรวจ ผมจึงจำเป็นต้องทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อไปสู่เป้าหมาย” ชูวิย์กล่าว
ส่วนเรื่องของวานนี้ (9 มกราคม) ที่ชูวิทย์ได้เข้าไปพูดคุยส่วนตัวกับ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หลังจบงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งก่อนหน้านั้นชูวิทย์ได้จัดกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ และส่งคำถามถึง พล.อ. ประยุทธ์ ที่ด้านหน้าศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 2 คำถามคือ พล.อ. ประยุทธ์ทราบหรือไม่ว่าหลานชายมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจบริษัททัวร์ของตู้ห่าว และถ้าพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องจริงจะดำเนินการตรวจสอบอย่างไร
ชูวิทย์กล่าวว่า ตนมีโอกาสได้พูดคุยกับนายกฯ เป็นเวลา 15 นาที ส่วนตัวได้บอกไปว่า ขณะนี้ พล.อ. ประยุทธ์ มีสถานะเป็นนักการเมือง ฉะนั้นจะแสดงบทบาทแบบเดิมไม่ได้ ต้องเรียนรู้ที่จะรับฟังประชาชน ซึ่ง พล.อ. ประยุทธ์ แสดงทีท่ารับฟัง และรับปากว่าจะดำเนินการให้เร็วที่สุด แต่ขอให้เข้าใจเงื่อนไขว่าทุกอย่างมีขั้นตอน
ชูวิทย์กล่าวทิ้งท้ายว่า ประเด็นทุนจีนสีเทาดังกล่าวควรที่จะถูกหยิบยกไปหารือในรัฐสภา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เรื่องนี้ควรจะมีพื้นที่บ้าง ส่วนตัวยอมรับว่ามีคนคอยสนับสนุน ตั้งแต่ต้นจนถึงวันนี้ได้เคลื่อนไหวไปแล้ว 80 เปอร์เซ็นต์ และจะยังทำต่อไป