×

จิบกาแฟกับ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ เบรนด์เวค สภากาแฟคนหลากขั้ว ในบรรยากาศปรองดองยุค คสช.

26.02.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

15 Mins. Read
  • ครั้งแรกที่ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ เปิดใจหลายเรื่อง โดยเฉพาะมิติทางการเมือง หลังจากเกิดเหตุรัฐประหารเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557
  • สุรนันทน์ตรวจการบ้าน คสช. มองว่า การปรองดองต้องคืนความไว้วางใจให้คนที่สูญเสียสมาชิกครอบครัว ขณะเดียวกัน ในฐานะนักการเมืองสังกัดพรรค เขาเห็นว่าพรรคการเมืองยังไม่ปฏิรูป ขาดข้อเสนอที่จะให้คนไว้ใจว่าจะไม่โกงแบบเดิมๆ
  • สุรนันทน์คือเจ้าของวาทะดัง ‘เพื่อนคือเพื่อน’ หลังเพื่อนที่ชื่อ บุญทรง เตริยาภิรมย์ ถูกตัดสินจำคุกในคดีจำนำข้าว เขาไขคำตอบว่า คนเราก็มีมิติอื่นหากถอดหัวโขนนักการเมืองออก

“ถ้าเราให้เกียรติทางความคิด แล้วก็ต่อสู้ทางความคิดในระบบที่เปิด แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นถกเถียงกันได้ สิ่งที่ตกผลึกมันอาจไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสังคมนั้น” ทัศนะข้างต้นของ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ ที่มองบ้านเมืองในโมงยามนี้ผ่านประสบการณ์ชีวิตทางการเมือง และการคลุกคลีกับคนหลากขั้วที่รายล้อมตัวเขา

 

ความน่าสนใจของคนชื่อสุรนันทน์ไม่ได้หยุดอยู่แค่ยี่ห้อ ‘นักการเมือง’ ที่แปะหน้าผากเขาในสนามนี้มาหลายสิบปี หากแต่สกุล ‘เวชชาชีวะ’ มีบุคคลอีกขั้วที่โลดแล่นอยู่บนเวทีเดียวกันอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ได้ขึ้นสูงสุดสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลายคนสนใจความสัมพันธ์ของเขาทั้งสอง

 

หลังตัดสินใจทิ้งงานในภาครัฐและกระโดดสู่สนามการเมือง ไต่บันไดเติบโตจาก ส.ส. ยุคไทยรักไทย ถึงเพื่อไทย จากรัฐมนตรีสู่นายกฯ น้อย (เลขาธิการนายกรัฐมนตรี) ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

 

และแน่นอนว่า สุรนันทน์เป็นนักการเมืองอีกคนที่ผ่านเรื่องดีร้ายมามาก ผ่านจุดรวม จุดแยกของวังวนนี้

 

และผ่านรัฐประหาร 2557 มาหมาดๆ กระทั่งตัดสินใจพักร้อนจากการเมือง มาเปิดร้านอาหารที่ชื่อ ‘Brainwake Cafe’ แต่ใครๆ ก็ว่าร้านนี้เป็นมากกว่าร้านอาหาร หากแต่เปิดประตูต้อนรับคนจากหลากขั้วให้มาเยือน และนั่นคือความน่าสนใจว่า เหตุใดสภาพที่ขัดแย้งหนักทางการเมือง แต่ร้านอาหารของเขากลับไม่รู้สึกแบ่งค่ายแยกสี

 

ต่อไปนี้คือครั้งแรกที่สุรนันทน์พร้อมเปิดหมดเปลือกในทุกเรื่องกับ THE STANDARD

มาที่ร้านนี้เราไม่คิดว่าคุณเคยเป็นเหลืองเป็นแดง ก็ถือว่าเขาให้เกียรติเดินเข้ามาเป็นลูกค้าเรา บางคนตั้งใจมาคุย มาดูว่าเราทำจริงไหม มันก็เป็นเหมือนสภากาแฟได้

 

ทำไมถึงมาทำร้านอาหาร

เป็นความรักส่วนตัว เป็นคนชอบชิม ชีวิตได้มีโอกาส ทั้งพ่อที่อยู่กระทรวงต่างประเทศ หรือช่วงที่รับราชการ หรือการเมือง ได้ไปต่างประเทศเยอะ ช่วงที่ปฏิวัติรอบที่แล้วทำรายการพาเที่ยวพาชิม พอพ้นการเมืองรอบนี้ เคยเป็นลูกจ้างบริษัท เคยรับราชการ การเมือง แต่ว่าผู้ประกอบการไม่เคย ก็เลยลองดู เพื่อนฝูงบอกทำเถอะ ทุกคนพอเห็นเราเปิดอยากมาแจม เลยวางคอนเซปต์ร้านเป็นอาหารง่ายๆ ที่เรียกว่า คอมฟอร์ต ฟู้ด คือกินแล้วสบายใจ ก๋วยเตี๋ยวเรือ ข้าวหน้าไก่ หรือ อเมริกันเบรกฟาสต์ เบคอน ขนมปัง ตั้งราคาที่เหมาะสม ใจเราอยากให้กินได้ทุกวัน ถึงตั้งอยู่สุขุมวิทเราก็ไม่ได้ตั้งราคาเวอร์ อันนี้ก็เป็นร้านแรก ซื้อขนมปังคนอื่นมาขาย พอคุยกับเพื่อนที่ญี่ปุ่น บอกมีเจ้าที่ญี่ปุ่น ตอนแรกเรานึกว่าจะซื้อแฟรนไชส์ ไปๆ มาๆ ไม่ต้องซื้อ เขามาลงทุนกับเรา กลายเป็นร้านที่ 2 ที่ทองหล่อ มีครัวทำเบเกอรี ที่นู่นเลยเป็นคอมฟอร์ต ฟู้ดญี่ปุ่น ข้าวแกงกะหรี่ ข้าวหมูทอด แต่ก็มีออร์แกนิกด้วย เพราะทางญี่ปุ่นสนใจ แล้วไปเปิดที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และที่ Show DC

 

เป็นนักการเมือง มาทำร้านอาหาร จากสภาพเศรษฐกิจมีกระทบไหม

ก็รู้สึกนะ เพราะที่ทำร้านตัวเอง และที่เดินคุยกับคนนู้นคนนี้ มีเสียงบ่น แต่ก็ทำให้เราปรับตัวเหมือนกัน อย่างของเราถูกกว่าที่อื่น เพราะไม่เอากำไรสูง แต่เอาปริมาณให้เข้าทุกวัน แต่ร้านที่สุขุมวิท ทองหล่อ ไม่ได้จับลูกค้าคนไทยลำพัง แต่จับลูกค้าฝรั่ง ญี่ปุ่นด้วย พอเราวางยุทธศาสตร์นี้ เราก็ได้คนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจไทย เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว แต่คืออย่างร้านเรา พนักงานบริษัทมากินเยอะ ถึงแม้ก๋วยเตี๋ยวเราจะแพงกว่าข้างถนนหน่อย คนก็อยากมานั่งห้องแอร์ แต่ก็เห็นได้ว่าช่วงหลังหายไป เพราะว่าพนักงานบริษัทไทยระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น มันก็สะท้อน บางทีผมก็นั่งคุย เขาก็บอกกินเซเว่น ยิ่งมีจัดระเบียบร้านอาหารริมทาง มนุษย์ออฟฟิศซึ่งมีสถานะแย่ที่สุด ส่วนใหญ่มาไกล เสียค่าเดินทาง เขาก็ต้องเลือก ก็เลยต้องออกแบบอาหารใหม่ ให้เขารู้สึกคุ้มค่า เป็นเซตบ้าง

 

 

แต่แถวนี้ค่าครองชีพสูง คนจะคิดว่าร้านอย่างนี้แพงหรือเปล่า

ร้านเราชื่อเสียงก็มีออกไปแล้วว่าราคาเหมาะสม ที่เราทำได้ เราก็ต้องยอมรับว่าตรงนี้ที่ดินผม แต่ผมคิดค่าเช่าตัวเองนะ หรือว่าที่ทองหล่อ ก็ที่ดินผู้ถือหุ้น เราก็คิดค่าเช่า  แต่ค่าเช่าเราบวกกับการแชร์รายได้ ก็ไม่ใช่ว่าค่าเช่าจะถูก แต่อย่างน้อยจุดเริ่มต้นหนึ่งทำให้ร้านอยู่ได้ ซึ่งผมก็รู้ว่าหลายคนอาจไม่ได้ดีลนี้ แต่คนที่ได้ดีลนี้ก็จะอยู่ได้ยาว อันนี้เป็นบทเรียนจากที่เราทำนโยบายเหมือนกัน ตอนทำนโยบายคนรายได้น้อยให้มีอาหารกิน เราพบว่าต้นทุนที่ทำให้ราคาอาหารสูงไม่ใช่วัตถุดิบหรือไม่ใช่ค่าแก๊ส แต่คือค่าเช่า

 

ไม่ถามคงไม่ได้ ชื่อเบรนด์เวค เป็นมาอย่างไร

ก็คิดเอง ไม่ได้มีเจตนาอะไร ก็เริ่มจากร้านกาแฟ กินกาแฟดีๆ สมองก็ตื่น กินอาหารง่ายๆ สบายๆ ของชุมชน พอชุมชนมาเจอกัน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น สมองก็ตื่น ไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น

ร้านผมไม่ได้ตั้งใจเป็นเวทีพูดคุยการเมือง แต่ถ้ามันทำให้คนมาพูดคุยกันได้ เข้าใจกันได้ มันก็ดี อย่าว่าแต่คนไทยเลย ฝรั่งที่มาที่นี่ บางกลุ่มสนับสนุนฮิลลารี อีกฝั่งสนับสนุนทรัมป์ มากินกาแฟก็ยังคุยกันได้

 

คิดว่าเสน่ห์ของร้านคืออะไร ถึงดึงคนหลายกลุ่มเข้าร้านได้ โดยเฉพาะกลุ่มหลากขั้วทางการเมือง

จริงๆ ตั้งแต่ทำงานการเมือง เราไม่ใช่การเมืองสุดขั้ว ไม่ใช่ไม่มีอุดมการณ์ เรามี แต่เราก็ให้เกียรติกับคนที่แตกต่างกับเราตลอดไม่ว่าจะสถานะไหน มาที่ร้านนี้เราไม่คิดว่าคุณเคยเป็นเหลืองเป็นแดง ก็ถือว่าเขาให้เกียรติเดินเข้ามาเป็นลูกค้าเรา บางคนตั้งใจมาคุย มาดูว่าเราทำจริงไหม มันก็เป็นเหมือนสภากาแฟได้ หลายคนที่อยากเห็นก็ยังไม่ได้มา แต่หลายคนที่มาก็ทำให้เรารู้สึกดีใจว่าเขาก็มีความรู้สึกที่ดีกับเรา ยังเห็นไม่ตรงกันทางการเมืองแต่คุยกันได้

 

พูดง่ายๆ ถ้าตัดเรื่องการเมือง มันก็สะท้อนมิติความสัมพันธ์ของคนในมุมอื่นเหมือนกัน

จริงๆ คนเรามันไม่ใช่ขาวดำ มันมีความสัมพันธ์ที่หลากหลาย กระทั่งครอบครัวผมเอง คุณอภิสิทธิ์อยู่ฝั่งหนึ่ง ผมเองคิดเห็นไม่ตรงกับเขาเลย แต่ไม่ใช่มันไม่มีความสัมพันธ์ ถ้าเราทำให้เป็นขาวดำ มันเป็นโลกคนละโลก ซึ่งเกิดขึ้นในโซเชียลมีเดียสมัยนี้ ฉันคบใครฉันก็อยู่กลุ่มนั้น อีกกลุ่มหนึ่งผิดเสมอ ผมว่าไม่ใช่มิติความสัมพันธ์ของมนุษย์ ถ้าเราให้เกียรติทางความคิด แล้วก็ต่อสู้ทางความคิดในระบบที่เปิด แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ถกเถียงกัน ได้ความคิด สิ่งที่ตกผลึกมันอาจไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสังคมนั้น

 

ถ้าเรามีเวที อย่างร้านผมไม่ได้ตั้งใจเป็นเวทีพูดคุยการเมือง แต่ถ้ามันทำให้คนมาพูดคุยกันได้ เข้าใจกันได้ มันก็ดี อย่าว่าแต่คนไทยเลย ฝรั่งที่มาที่นี่ บางกลุ่มสนับสนุนฮิลลารี อีกฝั่งสนับสนุนทรัมป์ มากินกาแฟก็ยังคุยกันได้

 

 

คุณอภิสิทธิ์เคยถามไหม หรือเคยมาที่ร้านบ้างไหม

(หัวเราะ) เจอกันในงานญาติเขาก็ถาม แต่เขายังไม่มีโอกาสได้มา ความจริงบ้านเก่าเขาอยู่ตรงนี้แหละ แต่เดี๋ยวนี้ย้ายไปไกลไม่มีโอกาสมา แต่มี ส.ส. ประชาธิปัตย์บางคนมา วันที่เปิดร้านอดีตนายกยิ่งลักษณ์ก็ให้เกียรติมา ไม่ได้เชิญมา แต่ท่านก็มา คุณอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย ก็มากินก๋วยเตี๋ยวบ่อย

 

หลายคนสงสัย สุรนันทน์-อภิสิทธิ์ นามสกุลเดียวกัน แต่ทำการเมืองต่างขั้ว คุยอะไรกัน กินข้าวร่วมโต๊ะกันได้อยู่ไหม

ก็ได้อยู่นะ แต่กินข้าวในครอบครัว เรื่องการเมือง เรื่องศาสนา อย่าคุยดีกว่า เพราะว่ามันคนละความคิดจริงๆ แต่ผมก็คิดว่าถ้าจะแลกเปลี่ยนกันอย่างผู้ใหญ่ แลกเปลี่ยนได้ ไม่มีปัญหา

 

คดีคุณบุญทรง วาทะ ‘เพื่อนคือเพื่อน’ ดังมาก ความตั้งใจตอนนั้นต้องการสะท้อนอะไร

ผมไม่ได้ต้องการสะท้อนอะไรเลย ผมเขียนคืนนั้น เพราะว่าผมกับคุณบุญทรงรู้จักกันมานาน ตั้งแต่ไทยรักไทยยังเป็นวุ้น จริงๆ 3 คนที่สนิทกันคือ ผม คุณบุญทรง กับคุณภาคิน สมมิตร คนรุ่นๆ เดียวกัน เชื่อในแนวความคิดว่าคุณทักษิณจะสามารถเสนอวาระที่แก้ปัญหาประเทศได้ ซึ่งก็จริง ก็สนิทกันเป็นพิเศษ

 

สิ่งที่ผมอยากสะท้อนตอนที่ผมเขียนถึงคุณบุญทรง ไม่ได้คิดโยนบาปให้ใคร อยากสะท้อนให้เห็นว่า มิติของคนคนหนึ่งมันอยู่ในตำแหน่ง มันมีเงื่อนไขบางอย่าง แต่ว่าเขาก็มีมิติอื่น อย่างทำการเมืองด้วยกัน คุณบุญทรงก็อยากทำให้บ้านเมืองดีขึ้น ด้วยประสบการณ์การเป็นนักธุรกิจมาก่อน ก็มีความคิดความอ่านหลายๆ เรื่อง เพราะฉะนั้นเราก็อยากให้คนจำเขาในเรื่องอื่นๆ ด้วย เพราะหลังจากนั้นเขาจะถูกจดจำอย่างเดียวว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่โกง ติดคุกในคดีจำนำข้าว

 

ในชีวิตคนเรา มีมิติและเงื่อนไขในการทำการเมือง บางคนเข้าไปติดในเงื่อนไขนั้น เขาก็เลือกไม่ได้ หรือบางคนเลือกจะเดินเส้นนั้นแล้วมันเกิดข้อผิดพลาดขึ้น เขาก็ต้องรับผลของข้อผิดพลาดนั้น

 

 

การที่ชะตากรรมของคนการเมืองอีกขั้ว เหมือนถูกรุกไล่อยู่เยอะ ทำให้ตัวเองมีความกลัวหรือขยาดการเมืองไหม

ผมอาจโดนกระทบน้อย ปี 2549 เป็นรัฐมนตรีก็ไม่ได้ถูกทหารจับ แต่ก็หลบอยู่ตามเซฟเฮาส์หลายวัน แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นอนค่าย ก็มีผู้พันคนนั้นคนนี้มาเช็กว่าผมทำอะไรอยู่ เมื่อเร็วๆ นี้ เดือนสองเดือนนี้ก็มีอยู่ แต่ว่าถ้าเทียบกับคนอื่นซึ่งโดนหนักกว่า ผมว่าน่าเป็นห่วง เป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยสบายใจ สังคมไม่ควรเป็นอย่างนั้น และคิดว่าในระยะยาวสิ่งเหล่านี้มันให้การพัฒนาของประเทศไม่ก้าวไปไกลเท่าที่ควร บางเรื่องเรารู้สึกว่ายังไม่ได้รับความเป็นธรรมหลายคดี

 

อย่างกรณีการสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงแล้วคนตาย 99 คนกลางเมืองหลวง ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร ยิ่งกรณี 6 คนที่วัดปทุมวนาราม ซึ่งจากการไต่สวนของศาลมีหลักฐานค่อนข้างชัดเจน แต่ไม่ถูกเปิดออกมาว่าเกิดอะไรขึ้น

 

ต้องเข้าสู่กระบวนการทำให้ชัดเจนโปร่งใส อย่างน้อยครอบครัวของผู้เสียชีวิตเขาก็ทำใจได้ว่าอะไรเกิดกับลูกหลานเขา แต่ถ้ามันไม่มี มันเป็นการรุกไล่อยู่ฝ่ายเดียว ตรงนี้จะเป็นเงื่อนไขทางการเมืองในอนาคตที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นอีก หรือการถดถอยเข้าไปสู่ระบอบที่พยายามตีกรอบ กดขี่มากกว่านี้

ทำงานการเมืองไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในพรรคการเมือง อาจเป็นการแสดงความคิดเห็น เขียนบทความ ซึ่งอันนั้นผมคงทำอยู่

 

จากนี้ยังคิดจะกลับไปเล่นการเมืองไหม

คำว่า ‘เล่นการเมือง’ บางทีผมก็หลุดคำพูดนี้ไป แต่เราต้องใช้ ‘ทำงานการเมือง’ ทำงานการเมืองไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในพรรคการเมือง อาจเป็นการแสดงความคิดเห็น เขียนบทความ ซึ่งอันนั้นผมคงทำอยู่ แล้วในขณะที่ธุรกิจมั่นคงขึ้นก็จะมีเวลาคิดเรื่องพวกนี้มากขึ้น ส่วนการทำการเมืองในระบอบที่เข้าไปสู่การเป็นสมาชิกพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง ด้วยอันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวผมด้วย เพราะผมไปสร้างกิจการเสียใหญ่ มีผู้ถือหุ้นเยอะ เขาก็ไว้วางใจว่าอย่างน้อย 3-5 ปีทำกิจการให้เจริญก่อนได้ไหม อย่าเพิ่งกลับไป ดังนั้นผมต้องบริหารตรงนี้ก่อน

 

ถามว่าผมทิ้งงานการเมืองไหม…ไม่ทิ้ง และผมเห็นว่ายังมีอะไรหลายๆ อย่างที่เราเข้าการเมืองตั้งแต่แรก ที่เรามีชุดความคิดบางอย่างที่เอาไปช่วยบ้านเมืองมันน่าจะดี ถึงแม้ไม่ลงไปลงเลือกตั้งเอง ก็จะเสนอชุดความคิดต่างๆ แล้วใครเอาไปใช้ แต่ในอนาคตอีก 3-5 ปี ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ยังคิดว่าตัวเอง 60 กว่ายังมีแรง ตอนนี้ก็ 57 แล้ว ถ้ายังมีแรงก็อาจจะทำ หรือไม่ก็นั่งเขียนหนังสือเงียบๆ ไปเรื่อยๆ แต่ไม่ทิ้งการเมืองแน่นอน มันอยู่ในจิตใจแล้ว คุณพ่อก็สอนมาตลอด ถ้าเราอยู่ได้ พอมีพอกินแล้ว ก็ทำงานให้ส่วนรวม

 

ในฐานะที่เคยทำงานใกล้ชิดกับอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้ติดต่อกันบ้างไหม

เรื่องติดต่อ ไม่ได้ติดต่อ แล้วก็ผมสบายใจอย่างหนึ่งที่ทราบจากข่าวว่าท่านอยู่ในที่ปลอดภัย ผมเคารพทั้งอดีตนายกฯ ทักษิณ และอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์

 

อย่างอดีตนายกฯ ทักษิณ มาจากชุดความคิดของท่าน ในวาระที่ทำนโยบายที่ก้าวหน้า แล้วก็ผลักดันอะไรหลายๆ อย่างสำหรับประเทศได้ อันนี้เป็นความเคารพที่ผมยังคิดเสมอ

 

ส่วนนายกฯ ยิ่งลักษณ์ พอได้ทำงานกับท่าน ก็รู้ว่าท่านมีความคิดความอ่าน มีความตั้งใจที่ดี ผมก็คิดว่าเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง อาจไม่ใช่นักการเมือง แต่ในฐานะนักบริหาร ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่เอาทักษะการบริหารจากองค์กรของตนเองมาปรับใช้ก็ทำได้ดี และผมก็ให้ความเคารพเสมอ

 

2-3 ปีมานี้ พอมาทำร้านอาหาร ครอบครัวรู้สึกอย่างไรบ้าง

ในแง่ครอบครัวนี่ ภรรยาผมเป็นคนที่ไม่ชอบการเมืองอยู่แล้ว เขาเป็นนักธุรกิจ ผมเป็นนักธุรกิจ ตอนเขาแต่งงานก็คิดว่าแต่งกับนักธุรกิจ เราเข้าไปอยู่การเมืองเขาก็เข้าใจ เขาไม่ได้ชอบ แต่ก็ไม่ได้ขวาง แต่รอบหลังที่ต้องไปนอนค่ายทหาร เรียกว่าแรง ตัวผมเป็นเป้าหนึ่งที่คนจับตามอง มีความแรงกระทบเยอะขึ้น ก็เป็นห่วง เป็นธรรมดา เขาก็บอกอย่าเพิ่งกลับไปทำการเมืองแล้วกัน เขาก็ดีใจเราอยู่ตรงนี้ แต่ผมว่าเขาก็รู้ลึกๆ ว่าเขาคงห้ามอะไรผมไม่ได้ (หัวเราะ)

ผมไม่เห็นด้วยกับชุดความคิดของ คสช. หรือของแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี แต่ว่าก็ยังไม่เห็นมีพรรคการเมืองไหนเสนอความคิดใหม่ออกมาเป็นทางเลือก

 

แต่ก็สบายใจกว่าใช่ไหม

สบายใจกว่าอยู่แล้ว อย่างที่ถามแต่แรก พอมีคนที่หลากหลายเข้ามา เขาก็มีความรู้สึกว่าก็ดี ตัวครอบครัวอยู่ได้ เพื่อนฝูงก็มี คนที่หายๆ ไปตอนที่เรามีตำแหน่ง เขาอาจจะเกรงใจเรา หรือว่าไม่ชอบเราเพราะเราไปอยู่กับสายนี้ ก็กลับมาเจอ

 

แต่ภรรยาหรือแม้กระทั่งลูกสาวผมก็เป็นคนที่มีความคิดความอ่านไม่ชอบความอยุติธรรมอยู่ เพราะฉะนั้นการพูดคุยกันต่างๆ หรือการเลือกเรียนของลูกสาวผมก็เลือกเรียนกฎหมาย อะไรที่มองว่าทำอย่างไรให้ระบบนี้เป็นธรรมกับทุกคน ยิ่งเราเจอคนหลากหลาย โดยเฉพาะได้เจอกับลูกค้า ลูกค้าเราก็หลากหลาย ตั้งแต่มีสตางค์น้อย จนเป็นมหาเศรษฐี ลูกน้องเรา บริษัทผมมีร้อยกว่าชีวิตก็มีความหลากหลาย ในฐานะ ความยากลำบากที่ต้องหาเช้ากินค่ำ เราเองก็เข้าใจคนมากขึ้น

 

เข้าสู่ปีที่ 4 ของ คสช. คำสัญญาเรื่องปฏิรูป มองอย่างไรบ้าง

คือจริงๆ วาทกรรมปฏิรูปก่อนเลือกตั้งของ กปปส. หรือเหตุผลที่ทหารปฏิวัติ แล้วบอกว่านักการเมืองเลวหมด ให้เกิดความวุ่นวาย แล้วเขาบอกว่าต้องปฏิรูป

 

แต่พอเราเห็นกระบวนการปฏิรูป มันไม่ใช่ทางแก้ปัญหา ปัญหาที่ควรจะต้องแก้คือทำให้กระบวนการยุติธรรมเกิดความโปร่งใส รู้ข้อเท็จจริง มันถึงจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการปรองดอง แต่มาอ้างว่าปฏิรูปโดยกระบวนการปรองดองไม่เกิดขึ้นเลย แต่กลับเป็นการกำหนดวาระของชาติโดยคนกลุ่มหนึ่ง ผมไม่ได้บอกว่าชุดความคิดเป็นชุดความคิดที่ไม่ดีนะ ชุดความคิดที่อยู่ในกระบวนการของสภาปฏิรูปฯ ในอดีต หรือในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่เขาพยายามทำอยู่ก็เป็นชุดความคิดที่ถ้าอ่านดูก็มีส่วนที่ดี แต่มันเป็นชุดความคิดของคนกลุ่มเดียว คนที่ชนะเข้าสู่อำนาจผ่านการรัฐประหาร ฉันคิดว่าฉันรู้ดีกว่าคนอื่น ฉันก็กำหนดลงไปว่าประเทศชาติต้องเป็นอย่างนี้ ต่อไปนี้ทรัพยากรของประเทศชาติต้องเป็นอย่างนี้ เงินภาษีอากรของเราถูกกำหนดไปอีก 20 ปีว่าต้องใช้ทำอะไร

 

ผมไม่คิดว่าเป็นการปฏิรูป การปฏิรูปต้องทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมในกติกาที่เป็นสากล

 

 

แต่ปัญหาที่นำมาสู่ทุกวันนี้ก็เพราะนักการเมือง ที่คุณบอกว่ามาจากผู้แทนประชาชน ในระบอบประชาธิปไตย คุณเองก็สร้างปัญหา สร้างสิ่งที่ประชาชนก็ออกมาคัดค้านเหมือนกัน

อันนี้ผมก็เห็นด้วยนะ มันไม่ใช่ทุกเรื่อง แน่นอน ผมยังเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย แต่เมื่อเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย การแก้ไขปัญหาของนักการเมืองก็ต้องผ่านกระบวนการประชาธิปไตย ผมเชื่อว่าถ้าเกิดมีการเลือกตั้งไปเรื่อยๆ ประชาชนจะเห็นว่าพรรคนี้ดีจริง พรรคนี้ไม่ดี ส.ส. คนนี้เป็นตัวแทนฉันจริง ส.ส. คนนี้ฝากลูกฉันเข้าโรงเรียน แต่ว่าเป็นคนไม่ดี ฉันไม่เลือก ฉันอยากเลือกคนที่ดีกว่า เขาจะเรียนรู้เอง แต่ถ้าคุณมาบังคับว่าต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่

 

แต่แน่นอนในกระบวนการจะปรับปรุงตัวเองนั้น พรรคการเมืองก็ต้องปรับปรุงตัวเอง อย่างเช่นตอนนี้ สมมติเราพูดเรื่องปฏิรูป ขณะนี้ที่ผมค่อนข้างผิดหวัง ก็คือยังไม่เห็นมีพรรคการเมืองจะปฏิรูปอะไรเลย

 

ผมไม่เห็นด้วยกับชุดความคิดของ คสช. หรือของแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี แต่ว่าก็ยังไม่เห็นมีพรรคการเมืองไหนเสนอความคิดใหม่ออกมาเป็นทางเลือก

 

 

หมายถึงพรรคเพื่อไทยด้วย

ทุกพรรค (ตอบทันที) …โอเค การเลือกตั้งสำคัญ แต่จะทำยังไงว่ามีการเลือกตั้งแล้วจะไม่มีนักการเมืองเข้ามาทุจริต ถ้าตอบโจทย์นั้นได้ ผมเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการประชาธิปไตย การมีส่วนร่วม ต้องการมีนักการเมืองดีๆ แต่ถ้าตอบโจทย์ไม่ได้ ก็เข้าทางสิ เข้าทางคนมีความคิดเชิงเผด็จการว่าจะต้องควบคุม ต้องวิ่งไล่จับคนกลุ่มนี้

 

แน่นอนระบอบประชาธิปไตยมีจุดอ่อน แต่การคานและดุลโดยประชาชน เป็นจุดแข็ง อาจต้องมีองค์กรพิเศษขึ้นมา ผมก็ไม่ได้ไม่เห็นด้วย ต้องมี ป.ป.ช. กกต. ขึ้นมาตรวจสอบ แต่กระบวนการตรวจสอบที่คานและดุลอำนาจที่ดีที่สุดต้องกลับไปสู่ประชาชน ต้องทำให้แข็งแรงขึ้น นี่คือการปฏิรูปที่แท้จริง และจะต้องมีทั้ง 2 ฝ่าย

 

เราไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร แต่เขามีอำนาจอยู่แล้วก็ต้องมาร่วม พรรคการเมืองก็ต้องช่วยตรงนี้ ทำให้เกิดขึ้น แต่จะใช้เงื่อนไขความคิดของเผด็จการ ความคิดเผด็จการก็คือฉันรู้ดีที่สุด คุณไม่รู้หรอก สื่อไม่รู้หรอก นายสุรนันทน์ไม่รู้หรอก ฉันรู้ดีที่สุด แล้วมากำหนด มันไม่ใช่หรอก

 

ผมบอกเสมอว่า “อย่ารัฐประหารเลย แก้ในระบอบประชาธิปไตยนั่นแหละ แก้ด้วยการเลือกตั้งนั่นแหละ แล้วในที่สุดประชาชนก็จะรู้ ให้เขาเรียนรู้ด้วยตนเอง”

 

แต่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยเราถูกขัดจังหวะตลอด พอเราเริ่มเรียนรู้ มีความวุ่นวายนิดหน่อย จะมีคนกลุ่มหนึ่งบอก “ทนไม่ได้ เห็นไหมประชาธิปไตยไม่เวิร์กในประเทศไทย คนต้องมีการศึกษาก่อน”

 

ย้อนยุคไปอีก 30 ปี ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะการศึกษาที่ถูกกำหนดกรอบโดยรัฐราชการ รัฐทหาร มันกลายเป็นการศึกษาที่ล้างสมองและครอบงำมากกว่าการศึกษาที่เปิด ที่จะทำให้เขามีโอกาสในการปกป้องสิทธิเสรีภาพตนเอง และพื้นฐานทางประชาธิปไตยที่สำคัญคือการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ถ้ามีการสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เขาก็มีโอกาสเติบโตได้ แต่ในระบบนี้มันไม่ได้เลย

 

 

เรื่องปรองดองพยายามทำมานานแล้ว คิดเห็นอย่างไร

ก็มันไม่มี เพราะเขาคือคู่ขัดแย้ง เพราะในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ก็คือทหารชุดนี้ที่อยู่ในอำนาจ มีส่วนในการสลายการชุมนุม มีส่วนกำหนดวิถีทางของระบบที่มันกำเนิดขึ้น มันมีเงื่อนไขทางการเมืองที่สลับซับซ้อนเกิดขึ้น เขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเงื่อนไข เพราะฉะนั้นเขาไม่สามารถมาทำปรองดองได้

 

เพราะในที่สุดแล้วก็จะมีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ไว้วางใจว่าเขาจะปรองดองเพื่ออะไร

จริงๆ เขามีโอกาส ถ้าเขาให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ดำเนินคดีไปตามขั้นตอน เร่งรัดให้เกิดการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมให้เร็วที่สุด แล้วให้กระบวนการของศาลว่าไป ไม่มีการไปสอดแทรกอะไร ไม่มีการกำหนดวาระในทางนิติบัญญัติ มันก็จะทำให้กระบวนการที่ทำให้เกิดความไว้วางใจขึ้นได้ ถ้าไม่เกิดความไว้วางใจ มันปรองดองกันไม่ได้หรอก

 

แล้วมันจะไว้วางใจไม่ได้ ถ้ายังติดใจว่า ‘ลูกหลานฉันตายเพราะอะไร?’ ‘ทำไมลูกหลานฉันโดนยิง ไม่มีใครให้คำตอบฉัน?’

อย่ารัฐประหารเลย แก้ในระบอบประชาธิปไตยนั่นแหละ แก้ด้วยการเลือกตั้งนั่นแหละ แล้วในที่สุดประชาชนก็จะรู้ ให้เขาเรียนรู้ด้วยตนเอง

 

ประเทศจะมีความหวังจากนี้ต่อไปอย่างไร

คือจริงๆ ผมคิดว่า ผมไม่เห็นด้วยนะ ความเห็นที่ว่า ‘ประเทศไทยดีทุกอย่าง นอกจากคนไทย’ ผมว่าเป็นคำพูดที่ผมไม่ชอบ เพราะเราไปเห็นหลายประเทศมา ผมคิดว่าประเทศไทยและคนไทย เกิดในประเทศที่มีเงื่อนไขที่ดีมาก เงื่อนไขที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ถึงเศรษฐกิจจะไม่ดี ก็ไม่มีคนที่อดตายข้างถนนเหมือนหลายประเทศที่เศรษฐกิจไม่ดีมากๆ เกิดการประท้วง อาหารไม่มีจะกิน อดอาหารอะไรอย่างนี้ แต่ของเราไม่มี

 

แล้วเงื่อนไขของสังคมไทยโดยรวม โครงสร้างทางการเมืองโดยรวม เป็นโครงสร้างทางการเมืองที่ทำให้เกิดความมั่นคง การที่เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ มีรากทางวัฒนธรรมหยั่งลึก มันเป็นจุดแข็ง

 

แต่ที่น่าเป็นห่วงตอนนี้คือ การรวมตัวของชนชั้นนำของประเทศกับนักธุรกิจใหญ่ๆ ที่หากมองตรงๆ ก็เหมือนพยายามฮุบทุกอย่าง ก็อาจเป็นธรรมชาติของระบบทุนนิยม แต่สิ่งที่รัฐบาลควรจะทำคือการสร้างเงื่อนไขให้ตัวเล็กๆ ยืนได้ เติบโตต่อไปได้ มันเป็นเงื่อนไขทางกฎหมาย ทางโครงสร้างเศรษฐกิจ การเมือง ที่มันควรถูกวางขึ้นมา ซึ่งตอนนี้ไม่เห็น

 

ถามว่าประชาชนจะมีหวังอย่างไร ผมคิดว่าตอนปัจจุบันนี้มี 2 เรื่องต้องห่วง เรื่องหนึ่งก็คือทรัพยากรประเทศเราจะหมดไป ทุนใหญ่กินหมด ทุนเล็กๆ ไม่เกิด เพราะฉะนั้นคนที่เป็นตัวเล็กต้องศึกษาหาความรู้ และผมจะขอบอกว่าต้องอ่านอะไรที่นอกเหนือจากกลุ่มตัวเองด้วย อันนี้เป็นความเห็นที่สองที่ผมจะบอก ซึ่งตอนนี้เกิดขึ้นทั้งโลก คือสมมติผมชอบฝั่งตัวเอง ผมก็อ่านแต่เฟซบุ๊กของพวกเรา อ่านแต่โซเชียลมีเดียของพวกเรา

 

เราลืมว่ามันมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เขาคิดแตกต่างอยู่ ถ้าเกิดเราอ่านแต่คนพวกเรากันเอง อย่างที่เกิดขึ้น เสื้อแดงอ่านแต่คนเสื้อแดงกันเอง เสื้อเหลืองอ่านแต่เสื้อเหลืองกันเอง มันเกิดความคิดที่ ฉันถูกที่สุด อีกฝ่ายผิดแน่นอน ต่างประเทศก็เกิดเหมือนกัน กลุ่มฮิลลารีก็เชื่อแต่เดโมแครต พวกรีพับลิกันเชื่อแต่ทรัมป์ ในที่สุดก็ทะเลาะกัน

 

ผมคิดว่าถ้าเราจะอยู่ในโลกสมัยใหม่ได้ เราต้องเข้าใจทุกฝ่ายแล้วก็ประเมิน ทีนี้การจะเข้าใจทุกฝ่ายได้ก็ไม่หมายความว่าเราจะต้องโดดไปเล่นการเมือง ไม่ใช่ แต่ในสังคม อย่างในธุรกิจที่ผมทำ เราก็ฟังทุกฝ่าย เขาจะมาเป็นลูกค้าเรา เขาจะมีความเข้าใจที่ดีต่อเรา

 

การที่เปิดใจกว้างพยายามเข้าใจอะไรที่ต่างกัน ผมคิดว่าเป็นทักษะที่คนไทยควรมี แต่เรากลับถูกสอนมาให้เชื่อ ไม่ให้คิด ให้เชื่อคนที่ยืนหน้าชั้น ซึ่งผมคิดว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกสมัยใหม่ จะต้องคิดเป็น แต่ว่าต้องคิดเองเป็นบนพื้นฐานข้อมูลที่หลากหลาย แล้วมาคิดว่าชีวิตตัวเองจะวางบนพื้นฐานอะไร แต่ทั้งหมดต้องตั้งบนพื้นฐานที่เปิดกว้าง ผมถึงเชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยถึงอย่างไรก็เหนือกว่า เพราะมันเปิดทางความคิด ไม่ใช่เชื่อท่านผู้นำคนเดียว

 

แล้วถ้า พล.อ. ประยุทธ์ จะแวะมาชิมบ้าง

ก็โอเคครับ ผมเคยทำงานกับท่าน พล.อ. ประยุทธ์ สมัยท่านเป็น ผบ.ทบ. ผมก็คิดว่าท่านเป็นคนที่มีความคิดความอ่านไม่ธรรมดา การที่เป็นนายกรัฐมนตรีมาได้ 3 ปีกว่า ก็ต้องถือว่าไม่ธรรมดา ถึงแม้จะอยู่ในระบอบที่มาจากการรัฐประหาร ถ้าไม่แน่จริงก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน

 

ผมก็คิดว่าหลายๆ คนที่อยู่ในรัฐบาลชุดนี้เป็นคนที่ตั้งใจดี เพียงแต่ผมไม่เห็นด้วยในวิธีการขึ้นสู่อำนาจของคุณ และที่คุณจะกำหนดความตั้งใจดีของคุณให้เป็นความตั้งใจดีของทุกคน มันไม่แน่จริงเสมอไป ถูกไหม?

FYI
  • สุรนันทน์ เวชชาชีวะ เป็นญาติสนิท สถานะลูกพี่ลูกน้องกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
  • Brainwake Cafe เป็นร้านกาแฟและร้านอาหาร ตั้งอยู่ภายในซอยสุขุมวิท 33 เปิดตั้งแต่เวลา 07.00-21.00 น.
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X