SCB CIO ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ 3 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.)เปิดมุมมองการลงทุนผ่าน SCB CIO FORUM 2023 ฟันธงปีหน้าตลาดหุ้นจีน-เวียดนาม มีแววเด่นแซงโค้งตลาดพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ในปี 2023 ด้วยจุดเด่นหุ้นลงไปแรง มูลค่าหุ้นถูก และแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการดี ส่วนหุ้นสหรัฐฯ เน้นหุ้นเชิงรับ มีการเติบโตแข็งแกร่ง จ่ายปันผลสม่ำเสมอ ด้านหุ้นยุโรปเน้นกลุ่มโลจิสติกส์ หรือหุ้นที่มีรายได้หลักจากนอกประเทศ
เกษรี อายุตตะกะ ผู้อำนวยการกลยุทธ์การลงทุน SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า SCB CIO ได้เชิญพันธมิตรทางธุรกิจมาร่วมเปิดมุมมองด้านการลงทุน ในปี 2023 หัวข้อ ‘จับสัญญาณการลงทุน สินทรัพย์ไหนไปรุ่ง’ ในงาน ‘SCB CIO FORUM 2023’ ที่ผ่านมา เนื่องจาก SCB WEALTH มีผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายในรูปแบบของ Open Architecture ที่ครอบคลุมการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ไขคำตอบ…ทำไม หุ้นเวียดนาม ดิ่งเกือบจะหนักสุดของโลก ล้างภาพดาวรุ่งแห่งเอเชีย
- จับตา! หุ้นฮ่องกง ดีดกลับจริงหรือแค่ชั่วคราว หลังผู้นำจีนส่งสัญญาณหนุนตลาดหุ้นอีกครั้ง
- ส่อง 9 ตลาดหุ้นเอเชีย ‘อินโดนีเซีย’ แชมป์เงินไหลเข้ามากสุด และเป็นตลาดหนึ่งเดียวที่ยืนบวก
วโรฤทธิ์ จีระชน Head of Investment Research บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBAM) กล่าวว่า ในปี 2023 เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวหรือถดถอยเล็กน้อยในช่วงครึ่งปีแรก ดังนั้นตลาดอาจผันผวนได้มาก ส่วนยุโรปก็คาดว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย จากผลกระทบของสงครามที่ยืดเยื้อต่อจนถึงต้นปี 2023 ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังเติบโตได้เล็กน้อย จึงมองว่าความน่าสนใจของการลงทุนในหุ้นจะมาอยู่ที่กลุ่มตลาด EM อย่างจีนและเวียดนาม เพราะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตได้ดี
ในส่วนของเวียดนาม มูลค่าหุ้นลดลงไป 30% เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี เนื่องจากมีประเด็นการจำกัดโควตาสภาพคล่องที่ธนาคารปล่อยกู้ได้ ซึ่งปี 2023 คาดว่าจะมีการให้เครดิตโควตาชุดใหม่ นอกจากนี้ตลาดหุ้นเวียดนาม เป็นตลาดที่นักลงทุนใช้บัญชีมาร์จิ้น กู้ยืมเงินจากบริษัทหลักทรัพย์ซื้อขายหุ้นกันมาก ดังนั้น ในช่วงตลาดขาลง นักลงทุนที่ใช้บัญชีนี้ซื้อขายก็โดนบังคับขายหุ้นเพราะมูลค่าหุ้นที่ลดลงมา ทำให้ถูกเรียกชำระหลักประกันเพิ่ม แต่ไม่สามารถชำระได้ อย่างไรก็ตาม หากลงทุนระยะยาวได้ ตลาดหุ้นเวียดนามก็น่าสนใจ โดยแนะนำให้ทยอยๆ ซื้อสะสม
สำหรับตลาดพัฒนาแล้วแม้จะมีความน่าสนใจน้อยกว่า แต่ก็ยังมีกลุ่มที่ราคาปรับลดลงมามากแล้ว เช่น หุ้นเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงกลุ่มหุ้นขนาดกลางขนาดเล็กที่ปกติจะทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นใหญ่ในช่วงหลังจากเศรษฐกิจถดถอยผ่านพ้นไป ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2023
“นักลงทุนสามารถรอให้ตลาดลงไปถึงจุดต่ำสุด (Bottom) ก่อน แล้วเข้าไปซื้อทีหลังก็ได้ เพราะจากการศึกษา พบว่ามีโอกาสที่ดีกว่าการเข้าไปซื้อในช่วงก่อนถึงจุดต่ำสุด” วโรฤทธิ์กล่าว
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนยังต้องระวังคือ การเกิดเศรษฐกิจถดถอยซ้ำรอบสอง โดยอาจเริ่มเห็นความกังวลในประเด็นนี้ช่วงปี 2023 และอาจจะเกิดการถดถอยซ้ำในปี 2024 ได้ หากเป็นเช่นนั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกรอบเพื่อสู้เงินเฟ้อปลายปี 2023 ซึ่งจะทำให้ความหวังที่สินทรัพย์เสี่ยงจะปรับขึ้นช่วงครึ่งปีหลังพังลงได้
ด้าน ดร.ชาญวุฒิ รุ่งแสงมนูญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFC มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2023 น่าจะชะลอตัวลงแต่คงไม่ถดถอย โดยเติบโตได้ 0.4% อย่างไรก็ตาม ถ้ามองรายไตรมาสก็มีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะเกิดการถดถอยทางเทคนิค คือเศรษฐกิจติดลบ 2 ไตรมาสติดกัน ในช่วงไตรมาส 1-2 ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ย ส่วนในยุโรป คาดว่าเศรษฐกิจจะถดถอยแต่ไม่มาก อยู่ที่ -0.1 ถึง -0.2% โดยคาดว่าได้เริ่มถดถอยตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2022 และอาจถึงไตรมาส 2 ปี 2023 ส่วนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะล่าช้ากว่าสหรัฐฯ และคาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่น จะเติบโตได้ 1.4-1.5%
ในช่วงเวลาเช่นนี้ การลงทุนในตลาดเกิดใหม่จึงน่าสนใจ โดยตลาดอันดับแรกที่มองคือจีน ตามด้วยเวียดนาม เพราะมูลค่าหุ้นค่อนข้างดีทั้งคู่ แต่จีนมีโอกาสฟื้นตัวก่อน เพราะรอผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดเป็นศูนย์ (Zero-COVID) และประชากรมีเงินออมสูงพร้อมใช้จ่ายเมื่อเปิดเมืองแล้ว โดยแนะนำให้เข้าสะสมหุ้นจีนได้ตั้งแต่ไตรมาสแรก ส่วนเวียดนามมีความน่าสนใจเพราะมีเรื่องราวการเติบโตที่ดี แต่มีความเสี่ยงเรื่องการจัดการภายในอยู่
สำหรับตลาดสหรัฐฯ หากต้องการลงทุน ควรเน้นหุ้นเชิงรับ ที่การเติบโตแข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานดี จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ โดยการลงทุนแบบคัดเลือกหุ้นรายตัวยังมีโอกาสที่ดีอยู่ ส่วนของหุ้นยุโรป ควรเน้นหุ้นกลุ่มโลจิสติกส์ หรือหุ้นกลุ่มที่มีรายได้หลักจากนอกยุโรป และผลการดำเนินงานยังเติบโตได้ดี มากกว่าการลงทุนบนดัชนีหุ้นยุโรปโดยรวม
ด้านการลงทุนในตราสารหนี้ แนะนำให้ทยอยสะสมพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว ที่จะได้ประโยชน์เมื่อผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond Yield) ปรับลดลงมากกว่าพันธบัตรระยะสั้น ส่วนหุ้นกู้ควรเน้นกลุ่ม Investment Grade ขณะที่สินทรัพย์ทางเลือก กลุ่มทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ (Global REIT) โดยเฉพาะในเอเชีย มีความน่าสนใจ เพราะมีโครงสร้างจ่ายเงินปันผลสูงและการเติบโตสูง โดยเน้นกลุ่มที่อยู่ในธีมโลจิสติกส์ ธีมเปิดเมือง
บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อิสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด (Eastspring) กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่น่าจะถึงขั้นถดถอยในปี 2023 อาจเป็นเพียงเติบโตเล็กน้อย โดยให้น้ำหนัก 40% ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตแบบบางๆ ให้น้ำหนัก 40% ว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอยแบบปานกลาง (Mild Recession) และให้น้ำหนักแค่ 20% ว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยหรือไม่นั้น ก็คือ การเปิดประเทศของจีน ว่าจะเป็นไปตามคาดหรือไม่ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯมีการเชื่อมโยงทางการค้าการลงทุนกับจีนสูง หากจีนเปิดประเทศไม่ได้ภายในกลางปี 2023 สหรัฐฯ ก็อาจเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ แต่ถ้าเปิดประเทศไม่ได้จนถึงปลายปี เศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็มีโอกาสจะถดถอยรุนแรง
ส่วนยุโรป เวลานี้เริ่มเห็นสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัวแล้ว คาดว่าเศรษฐกิจจะถดถอยแบบไม่รุนแรง ในไตรมาสที่ 2-3 ปี 2023 ส่วนญี่ปุ่น ไม่น่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย และปัจจุบันยังเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และมีมาตรการการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่
ด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจนี้ ทำให้เรามองว่า ตลาดเกิดใหม่ในเอเชียคงจะมีความน่าสนใจลงทุนมากกว่าตลาดพัฒนาแล้ว ในปี 2023 โดยช่วงครึ่งปีหลังแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาดน่าจะมาจากการเปิดประเทศของจีน คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 2 ซึ่งจะทำให้ตลาดเกิดใหม่ที่ค้าขายกับจีนได้ประโยชน์
สำหรับตราสารหนี้ ของบริษัทที่มีคุณภาพ อยู่ในระดับ Investment Grade ยังน่าสนใจ โดยอาจลดความเสี่ยงจากการที่บริษัทบางแห่งจะถูกลดระดับความน่าลงทุนได้ด้วยการลดระยะเวลาการถือครองให้สั้นลงได้ ในส่วนของสินทรัพย์ทางเลือกมองว่า Global REIT น่าสนใจ