ปี 2022 ที่กำลังจะจบลงนี้ เต็มไปด้วยมรสุมความเสี่ยงที่ถาโถมสู่ตลาดทุนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นผลพวงต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด ที่ลามสู่ภาคเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกมาจนถึงปีนี้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเซอร์ไพรส์ที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนอย่างสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ลุกลามมาสู่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และสินค้าทางเกษตร และสุดท้ายคือการเกิดภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งส่งแรงกดดันให้ธนาคารกลางประเทศต่างๆ พากันใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อปราบเงินเฟ้อ
ผลกระทบจากปัจจัยลบดังที่กล่าวข้างต้น ได้กดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างมากถึง 15-30% มากกว่าปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤตโควิดเป็นครั้งแรกเสียอีก โดยตลาดหุ้นที่เราคุ้ยเคยกันดี ไม่ว่าจะเป็นหุ้นสหรัฐฯ หุ้นยุโรป หุ้นจีน หุ้นเวียดนาม หรือแม้แต่การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างกองรีท (REIT) ก็ให้ผลตอบแทนที่ย่ำแย่เช่นกัน
บทความที่เกี่ยวข้อง
- “นี่เป็นราคาที่เราพึงพอใจทั้ง 2 ฝ่าย” เจ้าของสุกี้ตี๋น้อยกล่าวหลัง Jaymart ควักเงิน 1.2 พันล้านบาทเข้าถือหุ้น 30%
- ADVANC ทุ่ม 32,420 ล้านบาท เข้าซื้อกิจการ 3BB จาก JAS
- กางแผน ‘โอ้กะจู๋’ หลังมี OR เป็นแบ็กอัป เดินหน้าขยายสาขาเพิ่มเป็น 60 แห่ง ขายผักสดและบุก CLMV ก่อน IPO ในปี 2567
แต่แม้ราคาตลาดของแต่ละหลักทรัพย์จะปรับลดลงจนน่าสนใจ สิ่งสำคัญที่ผู้ลงทุนไม่ควรลืมก็คือ สภาวการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกเช่นนี้ยังถือว่าอยู่ท่ามกลางความท้าทาย ดังนั้นการสแกนหาตลาดสินทรัพย์ลงทุนที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน หรือช่วยป้องกันความเสี่ยง จึงเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะกับสภาวการณ์ปัจจุบัน
ตอนนี้มีตลาดไหนที่ Play Safe ได้บ้าง?
ตลาดหุ้นโลก หรือหุ้นต่างประเทศ อาจไม่อยู่ในสถานะที่จะเรียกว่าเป็นตลาดที่ปลอดภัยได้ในเวลานี้ และแม้ว่าการลงทุนหุ้นต่างประเทศจะเคยให้ผลกำไรที่ดีใน 1-2 ปีที่ผ่านมา แต่การปรับตัวลงอย่างหนักในปีนี้ทำให้ผู้ลงทุนจำนวนไม่น้อยตกใจกับความผันผวนในระดับมากกว่า +-20% ต่อปี
ปรากฏการณ์ที่ดัชนีผันผวนอย่างมาก ทำให้มีผู้ลงทุนจำนวนมากเริ่มมองหาการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นที่มีความผันผวนน้อยกว่านี้ และมีโอกาสฟื้นตัวได้อย่างดีในยุคหลังโควิด
ซึ่งตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในคำตอบที่เด่นชัดขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัวไปสู่จุดก่อนโควิด โดยรอบวัฏจักรของเศรษฐกิจไทยเทียบกับเศรษฐกิจประเทศสำคัญๆ ของโลกในปัจจุบันนั้นค่อนข้างแตกต่าง สะท้อนจากข้อมูลทางเศรษฐกิจดังนี้
1. เศรษฐกิจสหรัฐฯ
สหรัฐอเมริกามีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก โดยตลอดปี 2022 เศรษฐกิจประเทศมหาอำนาจแห่งนี้เผชิญปัจจัยเสี่ยงค่อนข้างมาก และมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยใน 2H23 เพราะพิษเงินเฟ้อและการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างเร็วและแรงตลอดปี 2022
2. เศรษฐกิจจีน
ประเทศจีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2020-2022 เศรษฐกิจจีนต้องซับแรงกดดันจากปัจจัยเสี่ยงด้านการแพร่ระบาดของโควิด, การจัดระเบียบด้านกฎระเบียบของภาคธุรกิจต่างๆ ตลอดจนการประกาศนโยบาย Zero-COVID เพื่อขจัดโรคระบาดให้หมดไปจากประเทศอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ผลที่เกิดขึ้นกลับลุกลามมาสร้างบาดแผลทางเศรษฐกิจให้แก่จีนอย่างมาก ทำให้การลงทุนในตลาดจีนยังมีความเสี่ยงอยู่มาก
3. เศรษฐกิจยุโรป
เศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกคือยุโรป ซึ่งสหภาพยุโรปเจอพิษสงครามรัสเซียยูเครน วิกฤตราคาพลังงานโดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติ และอยู่ในภาวะเงินเฟ้อรุนแรงเช่นกัน
จากการเปรียบเทียบรอบวัฏจักรทางเศรษฐกิจ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ขาลง ไม่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนนัก ตลาดหุ้นมีแนวโน้มจะผันผวนสูง ซึ่งไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความผันผวนต่ำ
ดังนั้นแล้ว ตลาดหุ้นไทยจึงเป็นตัวเลือกการลงทุนที่สมเหตุสมผลที่สุดในเวลานี้ ด้วยปัจจัยบวกและความโดดเด่นดังนี้
เปิด 5 เหตุผลที่ทำให้หุ้นไทยน่าสนใจลงทุน
1. ตลาดหุ้นไทยมักจะฟื้นตัวจากวิกฤตได้
ท่ามกลางวิกฤตใหญ่ระดับโลกที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อดัชนีตลาดหุ้น ทั้งวิกฤตสงครามอ่าวเปอร์เซีย ปี 1990, วิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 1997, วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (Subprime Crisis) ปี 2008 หรือกระทั่งวิกฤตภายในประเทศไทยอย่างมหาอุทกภัยปี 2011 และวิกฤตการเมือง ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถรอดพ้นหุบเหวมาได้ในที่สุด โดยแต่ละวิกฤต หุ้นไทยจะตกต่ำทั้งตลาดเป็นระยะเวลาหนึ่ง และหลังจากผลกระทบจบลง ดัชนีตลาดหุ้นไทยและราคาหุ้นพื้นฐานดีส่วนใหญ่ก็มักจะฟื้นขึ้นกลับมาสู่จุดเดิม และเติบโตต่อไปได้ทุกครั้ง
2. มีสัดส่วนหุ้นขนาดใหญ่จำนวนมาก ทำให้ผลประกอบการเติบโตแน่นอน
โลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและตลอดเวลา ทำให้ภาคธุรกิจจำต้องปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลง ซึ่งหากเป็นบริษัทขนาดเล็กก็อาจรับความเสี่ยงในมิติได้ไม่ดีนัก และเมื่อพิจารณาขนาดของบริษัทในตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะบริษัทในกลุ่มดัชนี SET50 และ SET100 จะพบว่ามีความเป็นหุ้นขนาดใหญ่ Big Cap อยู่ในธุรกิจที่จำเป็น ไม่ได้ถูกดิสรัปต์ได้ง่ายๆ ทั้งยังมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขันระยะยาวที่มาจากการผูกขาดและกินขาด เมื่อมองด้วยเกณฑ์เหล่านี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงน่าลงทุนอยู่ไม่น้อย และสามารถเป็นความหวังในการออมระยะยาวได้ดี
3. มีภาคการท่องเที่ยวเป็นเทรนด์ใหญ่ในการฟื้นเศรษฐกิจ
ประเทศไทยอยู่ในวัฏจักรเศรษฐกิจที่กำลังจะฟื้นตัว จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอย่างมาก แม้ว่าภาคท่องเที่ยวจะฟื้นตัวขึ้นทั่วโลก แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว สัดส่วนต่อ GDP ของภาคท่องเที่ยวไทยสูงกว่าประเทศอื่นๆ มาก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ภาคท่องเที่ยวมี Ecosystems ที่ใหญ่มาก สามารถส่งต่อกำลังซื้อและการเติบโตไปสู่ภาคส่วนอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ภาคบริการและภาคการบริโภคในประเทศ ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อน GDP ไทย และยังมีแนวโน้มที่เป็นบวกจากการท่องเที่ยวได้อีกหลายปี
4. ผู้ลงทุนไทยจะได้เปรียบในตลาดหุ้นไทย
ตลาดหุ้นคือสินทรัพย์เสี่ยงสูง ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความผันผวนได้เลย โดยไม่ว่าผู้ลงทุนจะปักเป้าหมายลงทุนระยะยาวเพียงใด ระหว่างทางก็จะถูกรบกวนวิถีลงทุนอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ลงทุนไทยลงทุนในตลาดหุ้นไทย ความได้เปรียบด้านความเข้าใจตลาดและธุรกิจจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติทันที
ข้อได้เปรียบของการลงทุนในตลาดที่เราคุ้นเคย จะช่วยให้ผู้ลงทุนตัดสินใจได้ดีขึ้น ด้วยโอกาสที่เอื้อให้เข้าถึงข้อมูลทำได้มากกว่าและแม่นยำกว่า
5. หุ้นไทยส่วนใหญ่ปรับตัวและสร้าง New S-Curve เสมอ
บจ.ไทย โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่มีปัจจัยเชิงคุณภาพ คือการปรับตัวและการสร้างการเติบโตใหม่ New S-Curve เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการออกทำธุรกิจต่างประเทศ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เช่น โรงไฟฟ้าหลายแห่งขยายกำลังการผลิตในต่างประเทศ ธุรกิจอาหารลงทุนซื้อกิจการในต่างประเทศ, การกระโจนสู่โอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ ลงทุนในอุตสาหกรรม EV, พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีการเงิน, การเปิดรับพันธมิตรเพื่อ Scale Up ธุรกิจ ผ่านการ M&A และซื้อกิจการในประเทศ
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยมีหุ้นแข็งแกร่งที่ทำธุรกิจกึ่งผูกขาดในตลาดคู่แข่งน้อยรายอยู่หลายตัว กิจการเหล่านี้มักอยู่ใน SET100 ในอนาคตอาจจะขยายธุรกิจในแนวทางข้างต้น หรือหากเริ่มอิ่มตัวแล้วก็มีแนวโน้มที่จะมีเงินสดเหลือมาก และจะจ่ายปันผลเพิ่มขึ้น
เปิดชื่อ ‘4 กองทุนหุ้นไทย’ ที่น่าสนใจลงทุนระยะยาว
1. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาว เซ็ท อินเด็กซ์ (ชนิดเพื่อการออม) หรือ SCBLTSET-SSF
กองทุนนี้มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ดัชนีอ้างอิง SET) ลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทหุ้นทุนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยใช้กลยุทธ์การบริหารเชิงรับ (Passive Fund Strategy)
เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ต้องการลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุนใน SSF สามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นที่กองทุนรวมไปลงทุน และสามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว โดยคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีน้ำหนักสูงในกองทุนคือ 1. กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 22.75% 2. กลุ่มพาณิชย์ 10.05% 3. กลุ่มธนาคาร 9.77% 4. กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ 8.29% และ 5. กลุ่ม ICT 7.40%
ลงทุนหุ้นไทยที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพและเป็นผู้นำตลาด เช่น AOT, PTT, DELTA, PTTEP และ GULF
2. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นทุนปันผล (ชนิดเพื่อการออม) หรือ SCBDV-SSF
กองทุนเน้นการลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ใช้กลยุทธ์การบริหาร Active Management เพื่อมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวสูงกว่าดัชนีชี้วัด
คัดเลือกลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด และสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนในขณะนั้น ซึ่งจะใส่น้ำหนักการลงทุนมากน้อยตามความน่าสนใจของหุ้นนั้น โดยกองทุนจะลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30 ตัว
เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทยที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ต้องการลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุนใน SSF สามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นที่กองทุนรวมไปลงทุน และสามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว โดยคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีน้ำหนักสูงในกองทุนคือ 1. กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 21.88% 2. กลุ่มพาณิชย์ 12.29% 3. กลุ่มธนาคาร 11.12% 4. กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 8.40% และ 5. กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ 7.41%
ลงทุนหุ้นไทยที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพและเป็นผู้นำตลาด เช่น AOT, PTT, GULF, ADVANC และ BDMS
3. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 (ชนิดเพื่อการออม) หรือ SCBLT1-SSF
กองทุนผสมในประเทศโดยเน้นการลงทุนในหุ้นไทยที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ ประมาณ 65-70% ส่วนที่เหลือกระจายลงทุนในตราสารหนี้
กองทุนอาจลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (กอง 1) หรือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) หรือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infra) ซึ่งอยู่ภายใต้การจัดการของบริษัทจัดการ โดยการลงทุนในหน่วยลงทุนดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้กรอบนโยบายการลงทุนของกองทุน ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด
เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความผันผวนระหว่างทางได้ และต้องการเพิ่มผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนส่วนใหญ่ (ประมาณ 70%) ในหุ้นไทยที่มีนโยบายหรือมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และต้องการลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุนใน SSF
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีน้ำหนักสูงในกองทุนคือ 1. กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 19.01% 2. กลุ่มธนาคาร 10.21% 3. กลุ่มพาณิชย์ 8.63% 4. กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 7.48% และ 5. กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ 6.73%
ทรัพย์สินที่ลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ AOT, GULF, KBANK, JMT และ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย
4. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ SCBRM4
กองทุนลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทหุ้นสามัญที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีสภาพคล่องสูง โดยมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิง SET50
เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ต้องการลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุนใน RMF สามารถรับความผันผวนของราคาหุ้นที่กองทุนรวมไปลงทุน และสามารถลงทุนในระยะกลางถึงระยะยาว โดยคาดหวังผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีน้ำหนักสูงในกองทุนคือ 1. กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 23.09% 2. กลุ่มธนาคาร 13.20% 3. กลุ่มพาณิชย์ 10.71% 4. กลุ่ม ICT 10.17% และ 5. กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ 7.44%
ลงทุนหุ้นไทยที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพและเป็นผู้นำตลาด เช่น AOT, GULF, BBL, PTT และ ADVANC
เข้าถึงทุกการลงทุนได้ง่ายด้วย SCB Easy
สำหรับผู้สนใจลงทุนใน SCBLTSET-SSF, SCBDV-SSF, SCBLT1-SSF และ SCBRM4 สามารถลงได้ด้วยการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน SCB Easy แล้วทำตาม 3 ขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
- เปิดบัญชีกองทุนผ่าน SCB Easy App
- ผูกบัญชีกองทุนบน SCB Easy App
- ซื้อกองทุนผ่าน SCB Easy App
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
SCBLTSET-SSF
https://www.scbam.com/th/fund/ssf/fund-information/scbltset-ssf
SCBDV-SSF https://www.scbam.com/th/fund/tax-ssf/fund-information/scbdv-ssf
SCBLT1-SSF https://www.scbam.com/th/fund/reduce-taxes/fund-information/scblt1-ssf
SCBRM4 https://www.scbam.com/th/fund/rmf-domestic-investment/fund-information/scbrm4
คำเตือน:
- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF / SSF ก่อนตัดสินใจลงทุน
- กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน รวมถึงควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตน และยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้
- ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- กองทุนบางกองทุนมิได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวนรวมถึงบางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนอาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ดังนั้นควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตน และผู้ลงทุนยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนดังกล่าวได้ และสามารถศึกษาข้อมูลกองทุนหลักได้จากเว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม และรายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุนผ่าน SCB Easy App