สถานีโทรทัศน์ CNN รายงานคาดการณ์สถานการณ์เพดานหนี้ของสหรัฐอเมริกาที่กำลังจะมีขึ้นในปีหน้า โดยทาง Goldman Sachs ระบุว่า การขับเคี่ยวกันในประเด็นดังกล่าวระหว่างพรรครีพับลิกันกับพรรคเดโมแครตจะเป็นไปอย่างดุเดือด ถึงขั้นที่อาจทำให้ตลาดการเงินสั่นคลอน สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้บริโภค และคุกคามเศรษฐกิจด้วยการผิดนัดชำระหนี้อันน่าสะพรึงกลัว
Goldman Sachs ยังได้เตือนว่า การต่อสู้เพื่อจำกัดเพดานหนี้ของรัฐบาลอาจจุดประกายความไม่แน่นอนมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2011 ที่ทำให้สหรัฐฯ โดนหั่นคะแนนเครดิต AAA จนสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในตลาด Wall Street
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ซีอีโอ JPMorgan เตือน เศรษฐกิจสหรัฐฯ และโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยภายใน 6-9 เดือน
- หุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาปิดบวกถึง 800 จุด จากที่ร่วงหนักกว่า 500 จุด หลังการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.ย.
- สหรัฐฯ รายงานเงินเฟ้อเดือน ก.ย. ที่ 8.2% สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ หุ้นสหรัฐฯ ดิ่งทันที!
บรรดานักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs ระบุว่า ในการเพิ่มวงเงินเพดานหนี้สหรัฐฯ ในปีหน้า แม้การสนับสนุนจากสองฝ่ายจะมีความจำเป็น แต่กลับยากที่จะบรรลุผลสำเร็จ
ทั้งนี้ เพดานหนี้คือวงเงินสูงสุดที่รัฐบาลกลางได้รับอนุญาตให้กู้ยืมได้ หลังจากที่สภาคองเกรสกำหนดระดับไว้เมื่อกว่าศตวรรษก่อนเพื่อลดการกู้ยืมของรัฐบาล กระนั้น เมื่อวงเงินมาถึงระดับที่จำกัดไว้ สภาคองเกรสในอดีตกลับตัดสินใจขยายวงเงินเพดานหนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ ที่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าจะเป็น ‘Armageddon ทางการเงิน’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายนิติบัญญัติทำในช่วงปลายปี 2021 หลังจากการขัดแย้งครั้งล่าสุดเกี่ยวกับเพดานหนี้
Goldman Sachs ตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การพูดคุยเจรจาเกี่ยวกับเพดานหนี้มักมีปัญหาเกิดขึ้นมากกว่าที่จะมีการบรรลุข้อตกลงได้อย่างราบรื่น โดยพรรครีพับลิกันได้ส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่าพร้อมต่อสู้ในการขยายเพดานหนี้
Kevin McCarthy หัวหน้าพรรครีพับลิกันซึ่งกำลังชิงตำแหน่งประธานสภา กล่าวกับ CNN ก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมว่า พรรครีพับลิกันจะเรียกร้องให้ลดการใช้จ่ายเพื่อแลกกับการเพิ่มเพดานหนี้ ขณะที่ John Thune วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันจากเซาท์ดาโคตา บอกกับ Bloomberg เมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าเพดานหนี้อาจเป็นหนทางผลักดันการปรับลดงบประมาณ
นักวิเคราะห์มองว่า สัญญาณดังกล่าวถือเป็นการเปิดฉากสำหรับการประลองทางการคลังที่เป็นอันตราย ซึ่งเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ หรืออย่างน้อยก็ใกล้จะถึงเวลาแล้ว
Isaac Boltansky ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยนโยบายของ BTIG ระบุว่า เงื่อนไขทางการเมืองจะนำไปสู่การต่อสู้ทางการคลัง ซึ่งรวมถึงปัญหาเพดานหนี้ในกลางปี 2023
Goldman Sachs ตั้งข้อสังเกตว่าสภาพแวดล้อมทางการเมืองในปี 2023 มีโอกาสคล้ายคลึงกับปี 1995 และ 2011 ซึ่งเป็นสองความขัดแย้งที่ตึงเครียดที่สุดในประวัติศาสตร์ล่าสุดของสหรัฐฯ โดยรายงานระบุว่าความขัดแย้งเหล่านั้นส่วนใหญ่ (แม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมด) เกิดขึ้นเมื่อพรรครีพับลิกันควบคุมสภาอย่างน้อยสภาหนึ่งในสภาคองเกรส ระหว่างที่สมาชิกพรรคเดโมแครตดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
หลายฝ่ายมองว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในตลาด Wall Street และส่งผลต่อการขาดทุนในบัญชีเกษียณอายุและพอร์ตการลงทุนของชาวอเมริกัน โดยนักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs ระบุว่า ความไม่แน่นอนของวงเงินหนี้ในปี 2023 อาจนำไปสู่ความผันผวนอย่างมากในตลาดการเงิน
ขณะเดียวกัน นอกเหนือจากตลาดแล้ว Goldman Sachs กล่าวว่า ความล้มเหลวในการเพิ่มวงเงินเพดานหนี้ให้ทันเวลา “จะก่อให้เกิดความเสี่ยงมากขึ้นต่อการใช้จ่ายของรัฐบาลและท้ายที่สุดต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ มากกว่าที่จะเกิดขึ้นกับหลักทรัพย์ของกระทรวงการคลังเอง” เหตุผลเพราะเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ รัฐบาลกลางจะหมุนเวียนเงินไปจ่ายดอกเบี้ยให้กับคลัง นั่นจะสร้างช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่ต้องเติมเต็มด้วยการชะลอการจ่ายเงินอื่นๆ ซึ่งรวมถึงเงินที่ชาวอเมริกันหลายล้านคนไว้วางใจ เช่น เช็คเงินเดือนให้กับพนักงานของรัฐบาลกลาง สวัสดิการแก่ทหารผ่านศึก และเงินประกันสังคม
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงมีเวลาเจรจาจนถึงอย่างน้อยสิ้นเดือนกันยายนปีหน้า โดยแม้ว่าหนี้ของรัฐบาลกลางมีแนวโน้มที่จะถึงขีดจำกัดตามกฎหมายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า แต่ Goldman Sachs กล่าวว่า กระทรวงการคลังควรจะสามารถกู้ยืมเงินได้ตามปกติจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์หรือต้นเดือนมีนาคม เมื่อถึงจุดนั้น รัฐบาลสามารถใช้เงินสดในคลังสินค้าจำนวน 5 แสนล้านดอลลาร์เพื่อชดเชยการขาดดุลจนถึงเดือนสิงหาคม
อ้างอิง: