‘นมข้นหวาน ตรา แหม่มทูนหัว’ (Milkmaid) น่าจะไม่มีผู้อ่านท่านใดที่เคยใช้หรือเห็นผลิตภัณฑ์นี้ แต่รู้หรือไม่ว่านี่คือผลิตภัณฑ์ชนิดแรกของเนสท์เล่ที่เดินทางมาถึงเมืองไทยในปี 2436 และเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคชาวไทย และได้รับความไว้วางใจอย่างต่อเนื่องมาเกือบ 130 ปี
เท่ากับว่าการซื้อผลิตภัณฑ์เนสท์เล่ที่ร้านค้าใกล้บ้าน ก็เปรียบเสมือนการซื้อประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่งเลยก็ว่าได้
จุดเริ่มต้นของอาณาจักรเนสท์เล่นั้นเริ่มต้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดย อองรี เนสท์เล่ (Henri Nestlé) เภสัชกรชาวเยอรมัน ได้คิดค้นนมสำหรับทารกชนิดแรกในโลกภายใต้ชื่อ ‘Farine Lactée’ ในปี 2410 หลังจากนั้นกว่า 20 ปี นมข้นหวาน ตรา แหม่มทูนหัว ก็เป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่เดินทางมาถึงเมืองไทย และเริ่มนำสินค้าอื่นๆ เข้ามาขายในไทยเพิ่มขึ้น
เนสท์เล่ตระหนักถึงศักยภาพของตลาดไทยตั้งแต่เริ่มเข้ามาดำเนินกิจการ จึงมีการลงทุนทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และตัดสินใจตั้งโรงงานผลิตแห่งแรกในประเทศไทย ด้วยการร่วมทุนในบริษัท ยูไนเต็ด มิลค์ จำกัด เริ่มดำเนินการในปี 2510
ช่วงปี 2560-2565 เนสท์เล่ได้ลงทุนกว่า 1.08 หมื่นล้านบาทในประเทศไทย รวมถึงเปิดโรงงานใหม่ 3 แห่ง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยให้ดียิ่งขึ้น โรงงานแห่งแรกคือโรงงานเนสท์เล่ เพียวไลฟ์ สุราษฎร์ธานี เปิดดำเนินการในปี 2560 ด้วยเงินลงทุน 1.8 พันล้านบาท เพื่อผลิตและจัดจำหน่ายน้ำดื่มคุณภาพส่งมอบให้ถึงมือผู้บริโภคในจังหวัดทางภาคใต้ของไทยมากขึ้น
ในปี 2563 เนสท์เล่เปิดโรงงานยูเอชที เนสท์เล่ นวนคร 7 ด้วยมูลค่าการลงทุน 1.5 พันล้านบาท เพื่อผลิตเครื่องดื่มยูเอชทีภายใต้แบรนด์ไมโลและตราหมี เมื่อต้นปี 2565 เนสท์เล่เปิดโรงงานเนสท์เล่ เพียวริน่า เพ็ทแคร์ ด้วยเงินลงทุน 5 พันล้านบาท เพื่อผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียกคุณภาพสูงให้กับตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ปัจจุบันเนสท์เล่มีโรงงานอยู่ทั้งหมด 7 แห่ง ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มหลากหลายประเภท ได้แก่ กาแฟ เครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ นมผง ครีมเทียม เครื่องดื่มธัญญาหาร น้ำดื่มบรรจุขวด ไอศกรีมเนสท์เล่ และผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยง ฯลฯ
ด้วยไลน์ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและครอบคลุมทุกการใช้ชีวิตของคนไทย เนสท์เล่จึงตัดสินใจลงทุน เพื่อขยายการเข้าถึงผู้บริโภคให้มากขึ้น โดยก่อตั้งฝ่าย eBusiness ขึ้นในปี 2562 ด้วยงบลงทุนกว่า 335 ล้านบาท เพื่อทรานส์ฟอร์มประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ให้โดนใจผู้บริโภคมากขึ้น
วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า “ในฐานะบริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายใต้ปรัชญาการทำงาน ‘Good food, Good life อาหารที่ดีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี’ ของเนสท์เล่ เรายึดมั่นต่อเจตนารมณ์ในการเปิดพลังแห่งอาหาร เพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตที่ดีเพื่อทุกคนในวันนี้และในอนาคต ควบคู่กับแผนการทำงาน การลงทุน และการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยและสัตว์เลี้ยง ตลอดจนฟื้นฟูและดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างคุณค่าร่วมกันให้กับทุกภาคส่วน และด้วยเจตนารมณ์และการลงมือปฏิบัติตามเป้าหมาย จึงทำให้เนสท์เล่เติบโตสู่การเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำในประเทศไทย ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของเนสท์เล่ยังกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคชาวไทย และได้รับความไว้วางใจอย่างต่อเนื่องมาเกือบ 130 ปี”
ในฐานะที่เนสท์เล่เป็นบริษัทด้าน FMCG ที่ใหญ่ที่สุดในโลก จึงมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ตั้งแต่การสร้างงานที่มั่นคงให้คนไทย 3,800 คน ไปจนถึงการจ่ายภาษีโดยเฉลี่ยในแต่ละปีกว่า 600 ล้านบาทให้กับรัฐบาลไทย
ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ เนสท์เล่จะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการขยายธุรกิจในประเทศไทย พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพเพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย ในฐานะเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญา ‘Good food, Good life อาหารที่ดีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี’