บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) รายงานกำไรสุทธิ 3Q65 อยู่ที่ 2.24 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 70%YoY และ 5%QoQ) สูงกว่าตลาดคาดอยู่ 16% เพราะรายได้อื่นสูง โดยรายได้อยู่ที่ 8.8 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 28%YoY แต่ลดลง 4.6%QoQ) แบ่งเป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 86% โรงแรม 11% และค่าเช่า 4%
รายได้จากโรงแรมเติบโตสูงถึง 458%YoY โดยได้แรงหนุนจากโรงแรมเปิดใหม่ Grande Centre Point Space Pattaya ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นทั้งอัตราการเข้าพักและอัตราค่าห้องพักเฉลี่ย
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นอ่อนตัวลงเล็กน้อยสู่ 31.1% จากการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมผลิตภัณฑ์ เทียบกับ 32% ใน 2Q65 และ 30.4% ใน 3Q64 รายได้อื่นอยู่ที่ 700 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 240%YoY และ 71%QoQ) โดยส่วนใหญ่เกิดจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมอยู่ที่ 762 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 63.5%YoY และ 17%QoQ) โดยได้รับการสนับสนุนจาก HMPRO, LHFG และ QH ทั้งนี้ กำไรสุทธิ 9M65 อยู่ที่ 6.3 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 28.4%YoY)
นอกจากนี้ ใน 9M65 LH ทำยอดขายได้ 2.46 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 12%YoY) แบ่งเป็นยอดขายบ้านเดี่ยว 83% ทาวน์เฮาส์ 9% และคอนโด 8% ยอดขาย 30% เกิดจากยูนิตที่มีราคาขาย 3-7 ล้านบาทต่อยูนิต และ 24% เกิดจากยูนิตที่มีราคาขาย 20-50 ล้านบาทต่อยูนิต โดยราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9 ล้านบาท จาก 7.6 ล้านบาท ใน 9M64
ทั้งนี้ ใน 4Q65 LH จะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวรวม 4 โครงการ มูลค่า 7.3 พันล้านบาท เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการ LTV ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ดังนั้น InnovestX Research เชื่อว่า LH จะทำยอดขายในปี 2565 ได้สูงกว่าเป้าที่บริษัทวางไว้ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 8.3%YoY) ราว 5-8% ที่ 3.3 หมื่นล้านบาท
กระทบอย่างไร:
ราคาหุ้น LH ปรับเพิ่มขึ้น 0.53%DoD สู่ระดับ 9.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 1.12%DoD สู่ระดับ 1,637.29 จุด (ณ 11 พฤศจิกายน 2565)
แนวโน้มผลประกอบการปี 2565:
ปัจจุบัน LH มี Backlog ในมือมูลค่า 6.1 พันล้านบาท โดย 84% จะรับรู้เป็นรายได้ใน 4Q65 และที่เหลือจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2566 Backlog 85% เป็นโครงการแนวราบ และที่เหลืออีก 15% เป็นคอนโด
InnovestX Research ประมาณการรายได้ปี 2565 ไว้ที่ 3.59 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 12%YoY) แต่ปรับประมาณการรายได้อื่นเพิ่มขึ้นเพื่อสะท้อนผลประกอบการ 3Q65 ที่ดีกว่าคาด ส่งผลทำให้มีการปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 เพิ่มขึ้น 5% สู่ 8.36 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 20.6%YoY) ทั้งนี้ LH ยกเลิกแผนขายอาคารอพาร์ตเมนต์ ‘Parc’ ในสหรัฐอเมริกาแล้ว เนื่องจากต้องการเก็บไว้เป็นสินทรัพย์ให้เช่า เพราะให้ผลตอบแทนดีมากใน 9M65 โดย EBITDA เติบโต 30%YoY และอัตราการเข้าพักในปัจจุบันอยู่ที่ 96%
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนยังคง Tactical Call สำหรับ LH ไว้ที่ ‘Outperform’ โดยได้รับการสนับสนุนจากกำไรที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการ LTV และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ดีขึ้น โดยราคาเป้าหมายปี 2566 อยู่ที่ 11.10 บาทต่อหุ้น โดยอิงกับระดับ 1SD PE ที่ 15.3 เท่า
ปัจจัยเสี่ยงและความกังวล คือการจับตาสต๊อกคอนโดมูลค่า 8.8 พันล้านบาทของ LH โดยเฉพาะคอนโดระดับบนและลักชัวรี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 8 หุ้นเนื้อทอง เซียนหุ้น รุมตอม ร่วมลงทุนติดอันดับผู้ถือหุ้นใหญ่
- 9 หุ้น จ่ายเงินปันผลสูงมากกว่า 5% ตลอด 5 ปี แถมราคาตั้งแต่ต้นปียังบวก
- 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65