7 Things We Love About Yoyo Cao
แฟชันอินฟลูเอ็นเซอร์อันดับต้นๆ ของเอเชีย
การมาของโซเชียลมีเดียรวมถึงแอปพลิเคชันต่างๆ ได้เปลี่ยนโฉมหน้าวงการแฟชั่นในปัจจุบันไปอย่างสิ้นเชิง พื้นที่ที่สามารถให้ใครก็ได้แชร์รูปภาพหรือคอนเทนต์ของตัวเองเชื่อมต่อกับผู้ใช้สมาร์ทโฟนคนอื่นๆ ทั่วโลก ก่อให้เกิดกระแสไมโครอินฟลูเอ็นเซอร์บุคคลทรงอิทธิพลที่ไม่จำเป็นต้องเป็นดาราหรือนักร้องเสมอไป และหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลที่เรากำลังพูดถึงก็คือ Yoyo Cao (โยโย่ คาล) นั่นเอง
ถ้าพูดถึงผู้บุกเบิกกระแสของอินฟลูเอ็นเซอร์ของชาวเอเชียจุดเริ่มต้นมาจาก Bryanboy และ Susie Bubble สองบล็อกเกอร์ผู้นำเสนอแฟชั่นผ่านมุมมองที่ฉลาดและมีอารมณ์ขัน ตามมาด้วยคลื่นลูกที่สองที่นำทีมโดย Irene Kim, Aimee Song และ Yoyo Cao ที่แฟชั่นต่างให้ความสนใจและชื่นชมความหลักแหลมในการสร้างคอนเทนต์ในแบบฉบับของตัวเอง
ปัจจุบัน Yoyo Cao เป็นมากกว่าสตรีตสไตล์คนดังที่แต่งตัวเก๋ เธอเปลี่ยนแพสชันด้านแฟชั่นสู่บทบาทของนักธุรกิจหญิงเต็มตัวและการเป็นคุณแม่ ซึ่ง THE STANDARD POP จะพาไปรู้จัก Yoyo Cao มากขึ้นผ่าน 7 ปัจจัยที่ทำให้เธอก้าวมาถึงจุดนี้ได้
FROM MACAU TO SINGAPORE
แม้ว่า Yoyo Cao จะโด่งดังในฐานะของแฟชั่นอินฟลูเอ็นเซอร์ชาวสิงค์โปร์ แต่จริงๆ แล้วนั้นเธอเกิดและโตที่มาเก๊า เธอเริ่มสนใจแฟชั่นตั้งแต่ยังเด็กผ่านการสังเกตสไตล์การแต่งตัวของคุณแม่ของเธอเอง ในฐานะเวิร์กกิ้งมัมเธอมองคุณแม่เป็นแบบอย่างมาโดยตลอด เธอตัดสินใจย้ายมาสิงคโปร์ตอนอายุ 13 ปีเพื่อมาศึกษาต่อ โดยเธอเคยให้สัมภาษณ์ว่าตอนนั้นที่บ้านเธอมีช้อยส์ให้เลือกสามที่ ได้แก่ สิงคโปร์ แคนาดา และออสเตรเลีย แต่เธอตัดสินใจเลือกสิงคโปร์เพราะอยากผิวแทน แต่กลายเป็นว่าที่นี่ได้เปลี่ยนชีวิตของเธอจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
FIRST STEP INTO FASHION
ในปี 2010 ทาง Yoyo เปิดร้านมัลติแบรนด์ชื่อ Exhibit ถือเป็นธุรกิจแฟชั่นแรกของเธอที่ประสบความสำเร็จเป็นอยากมาก Exhibit กลายเป็นแหล่งรวมสินค้าแบรนด์เก๋ๆ จากทั่วโลก โดย Yoyo ตั้งใจเลือกเจาะจงเฉพาะแบรนด์ที่ดีไซน์เก๋และราคาจับต้องได้เท่านั้น อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ทำให้ Exhibit ได้รับความนิยมมาจากการใช้โซเชียลมีเดียของ Yoyo เธอใช้ช่องทางนี้ในการกระจายภาพลักษณ์ผ่านการสไตลิ่งตัวเองด้วยเสื้อผ้าในร้านลงบนโซเชียลมีเดีย
Exhibit ยังต่อยอดให้เธอได้ทำงานดีไซน์ออกแบบคอลเล็กชันเป็นของตัวเองอีกด้วย และยังมีโอกาสได้โชว์ผลงานที่งานแฟชั่นวีคของสิงคโปร์ด้วยเช่นกัน แม้แบรนด์ Exhibit จะหยุดแอ็กทีฟในปี 2014 แต่ Yoyo ยังคงมีแผนที่จะนำแบรนด์นี้กลับมาทำใหม่อีกครั้งเร็วๆ นี้
SOCIAL MEDIA MAVEN
Yoyo เริ่มใช้โซเชียลมีเดียในการโปรโมตร้าน Exhibit ของเธอเอง โดยนำเสื้อผ้าที่เลือกมามิกซ์แอนด์แมตช์เพื่อสร้างเอ็นเกจให้คนรู้สึกอยากซื้อตาม ในขณะเดียวกันเธอเริ่มใช้โซเชียลมีเดียเพื่อบันทึกเรื่องของของตัวเองในแอ็กเคานต์ส่วนตัว ด้วยสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์บอกกับการสื่อสารที่ตรงไปตรงมาทำให้เธอเริ่มมีแฟนคลับและผู้ติดตามเพิ่มมากขึ้น แม้ปัจจุบันเธอไม่ได้ทำ Exhibit แล้วก็ตามแต่ Yoyo ยังคงใช้โซเชียลมีเดียในการสร้างธุรกิจใหม่ๆ ให้กับตัวเธอเองเสมอ เช่น เว็บไซต์ของตัวเอง
ในช่วงโควิดระบาดใหม่ๆ Yoyo ใช้แฟลตฟอร์มอินสตาแกรมของเธอจัดทำไลฟ์ซีรีส์โดยใช้ชื่อ Kulala TV เพื่อเชื่อมต่อระหว่างแฟนๆ และคนในวงการแฟชั่นเพื่อมานั่งพูดคุยถึงสถานการณ์รวมถึงการแก้ปัญหาต่างๆ เช่น หลังจากเหตุการณ์นี้จบลงแฟชั่นจะฟื้นกลับมาได้อย่างไร เคล็ดลับความสำเร็จและถูกใจผู้ติดตามมากกว่า 4 แสนคนมาจากความจริงใจและการเป็นตัวเอง เธอเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Tatler Asia ว่า “การเป็นตัวของตัวเองสำคัญที่สุด ฉันไม่เคยพยายามเป็นแบบคนอื่นเลยนอกจากตัวฉันเอง ฉันเชื่อว่าหลายคนเห็นสิ่งนั้นจากตัวฉัน”
KILLER STYLE
อีกหนึ่งหัวข้อที่ต้องยกให้เธอเลยคือเรื่อง ‘สไตล์การแต่งตัว’ หลังจากชิมลางลงรูปโปรโมตร้านตัวเองมาตลอด Yoyo เริ่มมีอิทธิพลต่อผู้หญิงในเอเชียด้วยกันเอง ด้วยสไตล์การมิกซ์แอนด์แมตช์ที่ฉลาด เก๋ และดูโก้ ทำให้หลายคนยกให้เธอเป็นหนึ่งในผู้หญิงเอเชียที่แต่งตัวดีที่สุด เหตุผลที่หลายคนชื่นชอบเธอเลยมาจากการที่เธอรู้จักรูปร่างของเอง ผู้หญิงเอเชียตัวเล็กที่ไม่ได้เหมาะกับเสื้อผ้าไซส์ยุโรปเสมอไป ซึ่ง Yoyo เข้าใจจุดนี้ดี เธอให้ความสำคัญในสัดส่วนของเสื้อผ้าเป็นอย่างมาก ทุกชุดที่เธอใส่จะไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป ทุกชิ้นมักจะพอดีตัวมากกว่าโคร่งหรือยาวกองพื้น ตรงนี้เองทำให้ผู้หญิงเอเชียหลายคนต่างมองเธอเป็นไอดอลการแต่งตัวพราะสามารถเห็นตัวเองอยู่ในชุดเดียวกับที่ Yoyo สวมใส่ได้
BRANDED PARTNERSHIPS
ถือเป็นการต่อยอดจากการเป็นตัวเองบวกกับสไตล์ส่วนตัวที่แข็งแรงทำให้แบรนด์ต่างอยากร่วมงานกับเธอทั้งนั้น Yoyo ทรงอิทธิพลอย่างมากในกลุ่มสาวเอเชียด้วยกันเอง ไม่แปลกที่แบรนด์อย่างอีคอมเมิร์ช Net-a-Porter, Matches และอีกมากมายเลือกเธอมาเป็นแขกพิเศษเลือกไอเท็มที่เธอชอบพร้อมสไตลิ่งลองใส่ให้เป็นไอเดีย ในปี 2018 แบรนด์แว่นตาสุดคัลต์ Gentle Monster ร่วมออกแบบคอลเล็กชันแว่นตากับเธอเพื่อฉลองการเปิดร้านที่สิงคโปร์ คอลลาบอเรชันครั้งนั้นได้รับความสนใจเป็นอย่างมากเพราะเป็นการผสมผสานตัวตนของ Yoyo และ DNA ของแบรนด์ Gentle Monster ออกมาได้หวือหวาและแปลกตา
ไม่ใช่แค่นั้น Yoyo ยังร่วมงานกับแบรนด์ดังระดับโลกมาแล้ว เช่น Bulgari, Chaumet, Gucci, Roger Vivier, Tiffany & Co. และ Miu Miu ซึ่งขอบเขตการทำงานของเธอไม่ใช่แค่ไปอีเวนต์หรือไปนั่งฟรอนต์โรว์เท่านั้น แต่ยังมาทำหน้าที่บรรณาธิการพิเศษเลือกไอเท็มโปรดเพื่อนำมามิกซ์แอนด์แมตช์ในการสร้างคอนเทนต์ให้กับแบรนด์นั้นๆ
ROMI BEAUTY
นอกจากแฟชั่นแล้วล่าสุด Yoyo และเพื่อนอีกสองคนยังร่วมกันเปิดแบรนด์บิวตี้ในชื่อ Romi Beauty ซึ่งมีความหมายว่า ทะเลที่ไร้ขอบเขต โดยเธอตั้งใจให้แบรนด์บิวตี้นี้สามารถเป็นอะไรก็ได้ไม่มีกรอบที่ตายตัวเสมอไป จุดเด่นของ Romi Beauty คือเป็นผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นมาเพื่อลดขั้นตอนในการแต่งหน้าและสกินแคร์ที่เธอมองว่ามันไม่ควรต้องยุ่งยากจนเกินไป และเธอยังตั้งใจให้ผลิตภัณฑ์ของเธอทั้งหมดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ดังนั้นสารแอ็กทีฟต่างๆ ที่ประกอบใน Romi Beauty จะไม่มีสารที่ก่อให้เกิดพิษต่อสิ่งแวดล้อมเด็ดขาด
Dream Skin Tint ผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่ปล่อยออกมาในปีนี้ ผลิตภัณฑ์อเนกประสงค์ที่ทำหน้าทั้งปรับสีผิว มอยส์เจอไรเซอร์ เซรั่ม และครีมกันแดด โดยจะให้ฟินิชชิ่งผิวที่ดิวอี้และฉ่ำโกลวมาในเฉดสีที่หลากหลายรองรับผิวผู้หญิงเอเชียเกือบทุกรูปแบบ ตามคำกล่าวของเธอก่อนหน้าที่ต้องการผลิตภัณฑ์บิวตี้ที่ใช้ได้หลากหลาย ไม่ต้องยุ่งยากลงหลายขั้นตอน เธอยังเผยอีกว่ากำลังจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ออกตามมาอีกแน่นอน
BECOMING A MOM
บทบาทต่อไปนอกจากเป็นเทรนด์เซ็ตเตอร์แล้วนั้นก็คือการเป็นแม่นั่นเอง Yoyo ได้ให้กำเนิดลูกชาย และเธอก็มีความสุขกับหน้าที่ใหม่นี้เป็นอย่างมาก เธอเริ่มจำกัดการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อจะใช้เวลาอยู่กับลูกของเธอเอง แม้ภายนอกเธอจะดูเป็นคนน่ารัก ยิ้มแย้ม แต่เมื่ออยู่บ้านเธอค่อนข้างมีระเบียบแบบแผนในการเลี้ยงลูกเลยทีเดียว เธอได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า แม้เธอจะดูแลเขาด้วยความรัก แต่ลูกของเธอต้องโตขึ้นมาเป็นเด็กที่มีมารยาทและวางตัวดี ดังนั้นเธอจะสอนลูกแบบบาลานซ์ระหว่างหย่อนๆ ผ่อนคลายและมีกฎระเบียบ เธอยังบอกอีกว่าเธออยากใช้เวลากับลูกของเธอให้ได้มากที่สุด เพราะเด็กยุคใหม่นี้โตเร็วมาก บวกกับโซเชียลมีเดียที่เข้าถึงข้อมูลได้เร็วขึ้น เธอจึงอยากใช้เวลาอันมีค่านี้อยู่กับเขาก่อนที่จะโตไม่ติดแม่อีกต่อไปแล้วนั่นเอง