วันนี้ (28 ตุลาคม) พรรคไทยภักดีเผยแพร่ข้อความของ สุขสันต์ แสงศรี โฆษกพรรคไทยภักดี กรณี พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการรณรงค์สื่อสารนโยบาย พรรคก้าวไกล ได้ออกมาแถลงยืนยันแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พร้อมกับเสนอปฏิรูปกองทัพและตำรวจนั้น สุขสันต์ระบุว่า ก่อนจะแสดงความเห็นต่างจากเจ้าเก่าขาประจำเรื่องนี้ ขอยันยันชัดๆ ว่า พรรคไทยภักดีขอคัดค้านเด็ดขาดในการแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
สุขสันต์กล่าวอีกว่า คำถาม แก้มาตรา 112 เพื่อประชาธิปไตยจริงหรือไม่ แก้เพื่อใคร แก้แล้วคนที่คิดล้มล้างสถาบันฯ จะหมดไปจากแผ่นดินนี้ไหม ควรแก้ที่กฎหมาย หรือแก้ที่ความคิดและจิตสำนึก? จำนวน 3 ประเด็น
ประเด็นที่ 1 การเสนอลดโทษผู้กระทำความผิดมาตรา 112 ไม่จำเป็นต้องแก้ไขอะไรทั้งสิ้น ถ้าไม่มีคนคิดทำผิดกฎหมายนี้ ไม่มีพวกคิดล้มล้างสถาบันฯ ต้องยอมรับว่าขนาดกฎหมายมีโทษเท่านี้ ยังมีคนกล้า ยังมีคนตั้งใจท้าทายกฎหมาย และมีกลุ่มคนที่จงใจทำผิดทั้งที่รู้กฎหมาย ถ้าวันหนึ่งกฎหมายอ่อนลงกว่านี้ จะเกิดอะไรขึ้นในบ้านเมือง
ดังนั้นวิธีแก้ปัญหา ไม่ใช่แก้ที่กฎหมาย ต้องแก้ที่ความคิด จิตสำนึก พฤติกรรม ของคนที่คิดร้าย คนที่บิดเบือน ซึ่งเราหวังว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมาก ถ้าพรรคก้าวไกลและพรรคการเมืองทุกพรรคได้ช่วยกันรณรงค์ต่อต้านคนที่คิดล้มล้างสถาบันหลักของชาติ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายเลย
ประเด็นที่ 2 การเสนอแก้มาตรา 112 ให้สำนักพระราชวังเป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์เท่านั้น ประเด็นนี้อันตรายมาก อย่าได้หลงทางไปเด็ดขาด เพราะนี่คือการดึงเอาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ มาเป็นคู่ขัดแย้งเผชิญหน้ากับประชาชนโดยตรงทันที และขัดรัฐธรรมนูญด้วย เพราะหน้าที่คนไทยทุกคนมีสิทธิโดยสมบูรณ์ในการปกป้อง รักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ ความมั่นคงปลอดภัยของชาติ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เป็นสิทธิโดยชอบเหมือนกันทุกคน เท่าเทียมกันทุกคน
เช่น เมื่อประชาชนเห็นว่ามีใครบางคนกำลังทำลายสถาบันหลักของชาติ ขายชาติ ทำลายความมั่นคงของชาติ เซาะกร่อนบ่อนทำลาย ก็มีสิทธิที่จะดำเนินการเอาผิดกับคนแบบนั้นได้ตามกฎหมาย ดังนั้นวิธีแก้ ไม่ใช่แก้ที่กฎหมาย แก้ด้วยวิธีเดียวกับข้อแรก ก็ขอเชิญชวนพรรคก้าวไกลมาช่วยกันปกป้อง ช่วยกันรณรงค์ และทุกอย่างจะดีขึ้น
ประเด็นที่ 3 เสนอให้การแสดงความเห็นโดยสุจริตถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการระบุอย่างชัดเจนในกฎหมาย ประเด็นนี้ยิ่งไม่ต้องแก้ไข เพราะการกระทำที่เข้าข่ายดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้ายหรือไม่นั้น ประจักษ์ด้วยพฤติการณ์และเจตนาของผู้ที่กระทำความผิดอยู่แล้ว มีหลายคนที่พูดถึงสถาบันฯ โดยที่ไม่ผิดกฎหมาย หรือกฎหมายให้โทษกับเขาไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำและเจตนาของเขานั่นเอง ดังนั้นถ้าเปลี่ยนจากความมุ่งมั่นในการที่จะแก้ไขมาตรา 112 มาเป็นความมุ่งมั่นทุ่มเทในการปกป้องร่วมกัน ก็ไม่จำเป็นต้องแก้กฎหมายแม้แต่ตัวอักษรเดียว
“ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายนี้มาโดยตลอด ไม่มีปัญหาอะไร ปัญหามีมากในช่วงหลัง ก็เพราะต้นเหตุจากการปลุกระดม บิดเบือน ให้ร้าย ล้างสมอง ของกลุ่มฝักใฝ่การเมืองเองก็ดี ของกลุ่มผลประโยชน์ที่ไม่เป็นทางการก็ดี หรือแม้แต่การอยู่เบื้องหลังของพวกทุนต่างชาติก็ตาม สุดท้ายกฎหมายที่คุ้มครองประมุขของรัฐ ประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกเขาก็บังคับใช้กันตามปกติ และถือเป็นกฎหมายที่อยู่ในหมวดความมั่นคงของรัฐ การอ้างความเป็นประชาธิปไตยและต้องมาแก้ไขมาตรา 112 นั้น จึงเป็นเหตุผลที่ไม่กินกับปัญญาโดยสิ้นเชิง” สุขสันต์กล่าว