เหลือเวลาอีกเพียงเดือนเศษ ศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองในเวลานี้คือ ข่าวเรื่องของการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2030 ของพันธมิตร 3 ชาติที่ไม่น่าเชื่อ
เมื่อสเปนและโปรตุเกส เป็น 2 ประเทศที่มีพรมแดนติดกัน เตรียมจับมือกับยูเครนซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันออกของแผนที่ เพื่อขอเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกร่วมกันในอีก 8 ปีข้างหน้า
เรื่องนี้จึงไม่ได้เป็นแค่เรื่องของเกมกีฬาเพียงอย่างเดียว หากแต่มีความหมายที่ลึกและซึ้งมากกว่านั้น
แรกเริ่มเดิมทีสเปนและโปรตุเกสมีแนวคิดที่จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพมหกรรมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกร่วมกัน ซึ่งเรื่องนี้เหล่าชาติในยุโรปรวมถึงสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เชื่อว่า ฟุตบอลโลก 2030 สมควรที่จะวนกลับมาสู่ยุโรปอีกครั้ง หลังจากที่เปิดทางให้ชาติตะวันออกกลางที่ไม่เคยได้เป็นเจ้าภาพมาก่อนอย่างกาตาร์ได้เป็นเจ้าภาพครั้งแรก และในอีก 4 ปีข้างหน้า ฟุตบอลโลกจะกลับไปยังแผ่นดินอเมริกาเหนืออีกครั้งในการเป็นเจ้าภาพร่วมของ 3 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก
ก่อนหน้านี้มีการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพร่วมของ 4 ชาติในทวีปอเมริกาใต้ ได้แก่ อุรุกวัย อาร์เจนตินา ปารากวัย และชิลี ซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติมานานมากแล้ว และยิ่งพิเศษมากขึ้นเมื่อคิดถึงวาระที่ฟุตบอลโลกจะครบรอบ 100 ปีพอดี หลังจากที่จัดการแข่งครั้งแรกในปี 1930 ที่ประเทศอุรุกวัยพอดี
ซาอุดีอาระเบียหวังใช้ฟุตบอลโลกเป็นเครื่องมือในการ Sportwashing
อีกหนึ่งข้อเสนอที่น่าสนใจคือ ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ และกรีซ 3 ประเทศที่อยู่ในคาบสมุทรเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่มีการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพของ 3 ชาติ จาก 3 ทวีป คือ เอเชีย แอฟริกา และยุโรป
การรวมตัวกันของ 3 ชาติจากแผ่นดินอนาโตเลียทางตอนเหนือ ดินแดนกาฬทวีปทางใต้ และแผ่นดินยุโรปทางตะวันตก ฟังดูเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น โดยที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับการยกมือสนับสนุนจากชาติใน 3 ทวีป
ไม่นับเรื่อง ‘กำลังภายใน’ ของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งใช้กีฬาในการลบล้างภาพลักษณ์ที่เลวร้ายของประเทศในกระบวนการที่เรียกว่า Sportwashing หรือการฟอกขาวด้วยกีฬา ที่เริ่มยุทธศาสตร์นี้มาตั้งแต่ปี 2017 และเกิดอิทธิพลอย่างมากในเกมกีฬาตั้งแต่การแข่งขันรถแข่ง F1, รายการทัวร์กอล์ฟที่กลายเป็นการปฏิวัติวงการอย่าง LIV Golf (ซึ่งกำลังจะจัดการแข่งขันที่ไทยในสัปดาห์นี้) รวมถึงในเกมฟุตบอลอย่างการเข้าเทกโอเวอร์สโมสรนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
ฟุตบอลโลกในปี 2030 คือหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่ซาอุดีอาระเบียต้องการจะผลักดันให้เกิดให้ได้ โดยยินดีเสนอตัวช่วยเหลือกรีซและอียิปต์ในเรื่องของการลงทุนสร้างและปรับปรุงสนามแข่งขัน รวมถึงสาธารณูปโภค การคมนาคม และทุกโครงสร้างที่จำเป็นต่อการเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน
ฟุตบอลจะเกิดขึ้นโดยมีเมกกะ พีระมิด และวิหารพาธีนอน เป็นฉากหลัง (เป็นภาพที่น่าตื่นเต้น)
แต่การปรากฏตัวของยูเครน ซึ่งคาดว่าจะมีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าจะเป็นหนึ่งในชาติที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพร่วมกับสเปนและโปรตุเกสด้วย ทำให้โอกาสกลับมาสมดุลกันอีกครั้ง
แฟนฟุตบอลยูเครนที่ลี้ภัยไปตามประเทศในยุโรปคือทูตสันติภาพที่ทำหน้าที่ในสนาม
นั่นเพราะการมียูเครนเป็นส่วนหนึ่งของฟุตบอลโลกไม่ได้มีความหมายถึงแค่เรื่องเกมกีฬาในสนามอย่างเดียว
แต่มันคือการส่งข้อความถึงโลกทั้งใบ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของคำว่า ‘ความหวัง’ และ ‘สันติภาพ’ จากชนชาติที่ไม่ยอมแพ้ต่อการรุกรานของมหาอำนาจที่เคยเป็นดังญาติมิตร แต่เวลานี้ความสัมพันธ์ไปสู่จุดที่ไม่อาจหวนคืนกลับมาดีต่อกันได้อีกแล้ว
คนที่อยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้ตามการเปิดเผยของ The Times ซึ่งเปิดเผยเรื่องนี้เป็นที่แรกคือ โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดี ที่ต้องการเห็นฟุตบอลโลกเกิดขึ้นที่ยูเครน เพื่อส่งสารที่สำคัญไปสู่คนทั้งโลก โดยเชื่อว่ากว่าจะถึงปี 2030 การรุกรานของรัสเซียน่าจะยุติลงแล้ว และการสร้างบ้านแปงเมืองใหม่น่าจะเริ่มขึ้นอย่างเต็มที่แล้ว
โดยยูเครนไม่ได้หวังอะไรมากไปกว่าการเป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันสำหรับ 1 กลุ่ม ซึ่งไม่ต้องห่วงเรื่องประสบการณ์ในการจัดงานใหญ่ เพราะเคยเป็นเจ้าภาพร่วมฟุตบอลยูโร 2012 กับโปแลนด์มาแล้ว
ขณะที่ฝ่ายของสเปนและโปรตุเกสเองยินดีที่จะสนับสนุนและอ้าแขนต้อนรับ ไม่นับเรื่องของการเพิ่มน้ำหนักให้แก่ข้อเสนอที่จะดูดีขึ้นมากเมื่อมองว่านี่อาจเป็นฟุตบอลโลกแห่งสันติภาพ และอาจได้รับการสนับสนุนมากขึ้นจากชาติในยุโรปที่ไม่ต้องการเห็นฟุตบอลโลกจัดในฤดูหนาวเหมือนปีนี้อีกหากต้องจัดที่ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ และกรีซ
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวระหว่างบรรทัดของการที่ยูเครนจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2030 ร่วมกับสเปนและโปรตุเกส ซึ่งจะมีการยืนยันในการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ ณ ที่ทำการใหญ่ของยูฟ่า ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในวันนี้
ไม่มีใครรู้ว่าข้อเสนอใดจะได้ชัยชนะจนกว่าจะถึงการลงมติในปี 2024 แต่อย่างน้อยชื่อของฟุตบอลโลกแห่งสันติภาพและความหวังก็ฟังดูเพราะทีเดียว 🙂
อ้างอิง:
- https://www.thetimes.co.uk/article/1cfcfaa0-435a-11ed-abc9-d0d53e948d21?shareToken=c62c185a212669b4084e05afea199183
- https://apnews.com/article/russia-ukraine-soccer-sports-switzerland-world-cup-1efd721f808ac60a688ac7c4086b5b13?taid=633c475adef0cc00013b9f5a&utm_campaign=TrueAnthem&utm_medium=AP&utm_source=Twitter
- https://www.theguardian.com/football/2022/oct/04/ukraine-to-bid-for-2030-mens-football-world-cup-with-spain-and-portugal