ย้อนหลังกลับไปในเกมเอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ แฟนบอลเดอะ ค็อปได้ยิ้มแก้มบาน เมื่อ ดาร์วิน นูนเญซ ทำประตูได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ทำให้ลิเวอร์พูลสยบแมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้ 3-1 คว้าโล่การกุศลประเดิมฤดูกาลใหม่
ความหวังของแฟนๆ เริ่มผลิบานกับกองหน้าตัวความหวังใหม่ที่มาพร้อมกับความคาดหวังมหาศาลด้วยเงินค่าตัวรวมแล้วถึง 100 ล้านยูโร ที่น่าเข้ามาเติมความสดชื่นให้แก่แนวรุกของทีมที่สิ้นยุค ‘SMF’ สามประสาน ซาดิโอ มาเน, โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ซึ่งรายแรกตัดสินใจอำลาทีมไปอยู่กับบาเยิร์น มิวนิก
แต่ช่วงเวลาดีๆ มันสั้นแค่นิดเดียว เมื่อนูนเญซแม้จะทำประตูได้ในเกมแรกของพรีเมียร์ลีก แต่ลิเวอร์พูลก็ทำได้แค่เสมอกับฟูแลม 2-2 และทุกอย่างเลวร้ายขึ้นอีกเมื่อโดนใบแดงไล่ออกจากสนามในเกมที่พบกับคริสตัล พาเลซในนัดต่อมา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- บทเรียนเพิ่มเติมที่ เจอร์เกน คล็อปป์ ต้องสอน ดาร์วิน นูนเญซ ที่เตรียมถูกลงโทษแบนยาว 3 นัด
- Resiliencia! 4 ประตูในเกม (อุ่นเครื่อง) เดียวของ ดาร์วิน นูนเญซ เพื่อสยบเสียงวิจารณ์
- เปิดตัว ดาร์วิน นูนเญซ ศูนย์หน้าขวัญใจคนใหม่แห่งแอนฟิลด์
นูนเญซต้องถูกลงโทษแบนห้ามลงสนามเป็นเวลา 3 นัดนับจากนั้น และกลับมาลงสนามเป็นตัวจริงได้แค่เกมเดียวนับจากนั้น โดยเสียตำแหน่งให้กับเฟอร์มิโน และ ดีโอโก โชตา กองหน้าอีกรายที่หายเจ็บกลับมา
ในเกมนัดล่าสุดที่ลิเวอร์พูลเสียท่าโดนไบรท์ตันไล่ตามตีเสมอได้อีกครั้งเป็น 3-3 นูนเญซถูกส่งลงมาในสนามในช่วงท้ายเกมก่อนหมดเวลาแค่นาทีเดียวและไม่สามารถช่วยอะไรทีมได้ โดยที่จับสีหน้าอาการแล้วดาวยิงทีมชาติอุรุกวัยดูไม่มีความสุข มองเห็นความหงุดหงิดและผิดหวังได้อย่างชัดเจน
เรื่องนี้จึงเป็นคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับกองหน้าที่ควรจะเป็นความหวังรายนี้? และ เจอร์เกน คล็อปป์ คิดอย่างไรกับกองหน้ารายนี้?
เหตุผลที่ 1: เพราะเวลายังมาไม่ถึง
สถานการณ์ของนูนเญซเป็นคำถามใหญ่ในเวลานี้เช่นกัน โดยเฉพาะในยามที่ลิเวอร์พูลประสบปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่นอย่างหนัก ซึ่งแม้ปัญหาหลักจะอยู่ในเรื่องของเกมรับที่เสียประตูง่ายเหลือเกิน แต่การที่ซื้อกองหน้ามาแพงขนาดนี้แล้วไม่ใช้งานมันย่อมหลีกหนีคำครหาไม่พ้น
เรื่องนี้ เจอร์เกน คล็อปป์ ได้พยายามชี้แจงต่อทุกคนในการแถลงข่าวก่อนเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่จะพบกับกลาสโกว์ เรนเจอร์ส โดยให้เหตุผลที่นูนเญซยังไม่มีโอกาสและเวลามากนัก เพราะยังคงอยู่ในช่วงของการปรับตัว
“แน่นอนว่าเขากำลังปรับตัวอยู่” คล็อปป์บอก “ผู้เล่นใหม่เข้ามาก็เป็นปกติที่ทุกคนจะพูดถึงเขาและอยากให้เขาฉายแสงโดยทันที เรื่องแบบนี้มันก็เคยเกิดขึ้นมาบ้าง แต่บางครั้งมันก็ไม่ได้เป็นไปแบบนั้น”
คล็อปป์ยังเปิดเผยอีกว่าได้มีการ ‘เคลียร์ใจ’ กันไปเรียบร้อยแล้วกับดาวยิงวัย 23 ปี โดยผ่าน เป๊ป ไลน์เดอร์ส ผู้ช่วยคนสำคัญที่ชำนาญภาษาโปรตุเกส เพื่อให้การสื่อสารนั้นเชื่อมจากใจถึงใจอย่างแท้จริง
“เมื่อวานนี้เราเพิ่งมีการพูดคุยกันยาวทีเดียวร่วมกับ เป๊ป ไลน์เดอร์ส ด้วยเพราะภาษาสเปนหรือโปรตุเกสของผมนั้นยังไม่ดี” คล็อปป์เล่าให้ฟังพร้อมกับบอกว่าสิ่งที่มีการพูดคุยกันคือการพยายามคลายความกังวลใจของนูนเญซเกี่ยวกับสถานการณ์ในเวลานี้
โดยบอสชาวเยอรมันยืนยันว่านูนเญซเองก็ดูไม่ได้วิตกกังวลอะไรเช่นกัน ส่วนเรื่องที่ได้โอกาสลงเล่นในเกมล่าสุดแค่ไม่กี่นาทีนั้นเป็นเพราะกลับมาจากการเล่นทีมชาติแล้วมีอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อด้านหลังโคนขา ซึ่งทีมแพทย์แจ้งข้อมูลแล้วและแนะนำว่าเล่นได้แค่ 15-20 นาทีเท่านั้นไม่เกินนี้
สำหรับประเด็นในเรื่องของการปรับตัวนั้นไม่ถึงกับเข้าใจยาก เพราะนักเตะแกนหลักของลิเวอร์พูลในยุคนี้มีทั้งคนที่สามารถย้ายมาและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เช่น มาเน, ซาลาห์, โชตา, ดิอาซ หรือ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และคนที่ต้องใช้เวลานานในการปรับตัว เช่น ฟาบินโญ, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน หรือแม้แต่ ติอาโก อัลกันตารา
ที่เป็นเช่นนี้เพราะระบบการเล่นของลิเวอร์พูลในยุคคล็อปป์มีรายละเอียดที่ต้องศึกษา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเตะกองหน้าที่เล่นในตำแหน่ง ‘หมายเลข 9’ นั้นปกติแล้วจะไม่ใช่กองหน้าตัวเป้าที่รอโอกาสในเขตโทษเฉยๆ แต่ต้องลงมาช่วยทำเกมในบท ‘False Nine’ ด้วย
ดังนั้นสำหรับนูนเญซที่เป็นกองหน้าในแบบที่แตกต่างไปเลยจึงไม่ใช่เรื่องง่าย และในทางกลับกันกับเพื่อนร่วมทีมเองก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักเหมือนกันในการปรับตัวเข้าหากองหน้าในลักษณะ Fox in the Box แบบนี้
เหตุผลที่ 2: เพราะเวลาไม่เป็นใจ
แต่แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้การเริ่มต้นของนูนเญซยากขึ้นคือการทำตัวเองด้วยการโดนใบแดงในเกมกับพาเลซ
เพราะในช่วงเวลานั้นลิเวอร์พูลเองก็กำลังพยายามปรับตัวให้เข้ากับนูนเญซมาโดยตลอดตั้งแต่ช่วงพรีซีซันเป็นต้นมา ซึ่งแม้จะยังดูติดๆ ขัดๆ แต่ก็พอมองเห็นแนวโน้มว่าดาวยิงมัดจุกรายนี้น่าจะปรับตัวกับทีมใหม่ได้ไม่ถึงกับยากนัก
โดยเฉพาะเรื่องของการฉีกหาตำแหน่งเพื่อโอกาสในการทำประตูที่น่าสนใจ เป็นมิติการเล่นใหม่ที่ลิเวอร์พูลไม่เคยมีแบบนี้มานานแล้ว
ดังนั้นใบแดงในเกมกับพาเลซที่ทำให้เขาถูกแบนอีก 3 นัด จึงเป็นตัวทำลายจังหวะอย่างน่าเสียดาย ซึ่งมันตามมาด้วยปัญหาเพิ่มเติมอีก 3 อย่าง
อย่างแรกคือการคืนฟอร์มของนักเตะที่เคยถูกมองว่าหมดสภาพไปแล้วอย่างเฟอร์มิโน ที่ในฤดูกาลนี้กลับมาเล่นได้ดีพอสมควรและอย่างน้อยที่สุดคือมีสกอร์ให้เห็น (เกมล่าสุดก็ยิงไปอีก 2 ประตู) นั่นทำให้การที่นูนเญซจะเบียดชิงตำแหน่งกลับมาทันทีไม่ใช่เรื่องง่าย
อย่างที่สองคือการกลับมาของโชตา ซึ่งแม้จะเล่นได้ทุกตำแหน่งในแนวรุก แต่ดูเหมือนคล็อปป์จะต้องการให้ยืนในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าอีกคนเช่นกัน (เพราะริมเส้นสองฝั่งมี หลุยส์ ดิอาซ และซาลาห์ ยึดอยู่แล้ว) ซึ่งทำให้ ‘ลำดับ’ ในทีมของนูนเญซจึงหล่นไปอยู่ที่ 3 ชั่วคราว
อย่างสุดท้ายคือมันเป็นช่วงที่ลิเวอร์พูลผลงานการออกสตาร์ทแย่ที่สุดนับตั้งแต่คล็อปป์เข้ามาคุมทีมแบบเต็มฤดูกาล ทีมแทบไม่มีโอกาสเล่นอย่างผ่อนคลายให้ได้ทดลองแนวทางใหม่ๆ คล็อปป์ต้องเน้นกับเกมทุกนาทีและทำให้การส่งกองหน้าใหม่ลงสนามเป็นสิ่งที่ตัดสินใจลำบากขึ้นมาทันที
เรียกได้ว่าเวลาไม่เป็นใจสำหรับนูนเญซจริงๆ ที่มาในช่วงเวลานี้
เหตุผลที่ 3: เพราะเวลาไม่คอยท่า
จะเรื่องของการปรับตัว ฟอร์มการเล่น หรืออะไรก็ตาม สุดท้ายแล้วการที่นูนเญซได้โอกาสน้อย ได้เวลาในสนามน้อย มันไม่เป็นการส่งผลดีต่อใครเลย
กับเจ้าตัวเองมองเห็นได้ไม่ยากว่าอยู่ในภาวะกดดัน เมื่อได้โอกาสลงสนามมักจะพยายาม ‘ฝืน’ การเล่นจนเกินไป หรือพยายามจนเกินไปจนทำให้บ่อยครั้งที่เสียเหลี่ยมเสียทีคู่แข่ง และเริ่มมีการระเบิดอารมณ์ออกมาให้เห็น
สำหรับนักเตะในตำแหน่งกองหน้า ในฐานะคนที่แบกรับความคาดหวัง สิ่งที่ดีที่สุดคือการแจ้งเกิดให้เร็วที่สุด ใช้เวลาในการปรับตัวให้น้อยที่สุด เพราะยิ่งปรับตัวช้าเท่าไรก็ยิ่งเป็นผลร้ายมากขึ้นเท่านั้น
ก่อนหน้านี้คล็อปป์เคยลองให้โอกาสกองหน้าดาวรุ่งอย่าง โดมินิก โซลันกี ที่คว้าตัวมาร่วมทีมในช่วงที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการฟุตบอลอังกฤษ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถแจ้งเกิดได้และโดนขายออกไปจากทีม เช่นเดียวกับ เรียน บริวสเตอร์ กองหน้าจากอะคาเดมีของทีมเองที่เคยถูกคาดหวังว่าอาจจะเป็น คีเลียน เอ็มบัปเป้ แห่งแอนฟิลด์ แต่สุดท้ายแจ้งเกิดไม่ได้ บาดเจ็บหนัก และโดนขายให้เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (จนป่านนี้ยังแจ้งเกิดไม่ได้)
เรียกได้ว่ากองหน้าเป็นตำแหน่งที่มีเวลาให้แจ้งเกิดจำกัด ซึ่งในรายของนูนเญซมันอาจจะยังไม่ถึงขั้นเป่านกหวีดหมดเวลา แต่ผ่านมาถึงตรงนี้ก็ต้องบอกว่า ‘เสียเวลา’ มาพักหนึ่งแล้ว
คล็อปป์ย่อมตระหนักเรื่องนี้เป็นอย่างดีจึงนำไปสู่การพูดคุยระหว่างทั้งคู่
แต่สิ่งที่จะเป็นตัวตัดสินเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคือการตัดสินใจว่าจะส่งนูนเญซลงสนามหรือไม่ โดยเฉพาะในคืนนี้ที่จะลงสนามพบกลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในเกมแชมเปียนส์ลีกที่แอนฟิลด์ ซึ่งถือว่าเป็นเกม ‘เบา’ ที่สุดในรอบนี้
หากได้ลงสนามก็ขึ้นอยู่กับตัวของนูนเญซแล้วว่าเขาจะทำได้สมความคาดหวังของทุกคนรวมถึงความคาดหวังของตัวเองหรือไม่
อ้างอิง:
- https://www.thetimes.co.uk/article/stuttering-nunez-told-to-relax-in-klopp-pep-talk-dl32pgxvj
- https://theathletic.com/3652159/2022/10/03/jurgen-klopp-liverpool-darwin-nunez/
- https://www.thetimes.co.uk/article/arsene-wenger-losing-sadio-mane-and-darwin-nunez-struggling-at-the-heart-of-liverpools-slump-sblxlvrj9