6 วันหลังจากความพ่ายแพ้อันอดสูที่เนเปิลส์ ลิเวอร์พูลกลับมาลงสนามอีกครั้งพร้อมกับ 2 คำถามใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นต่อทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ ผู้ประกาศว่าจะ ‘Reinvent’ ทีมขึ้นมาใหม่ และคำถามพิเศษสำหรับแฟนบอล ‘เดอะ ค็อป’ ในแอนฟิลด์ทุกคน
จากเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ชาวเมืองลิเวอร์พูลหรือ ‘สเกาเซอร์’ จำนวนไม่น้อยที่มิได้ยินดียินร้ายในความเป็นชนชาติอังกฤษ โดยเฉพาะหลังเหตุโศกนาฏกรรมที่ฮิลส์โบโรห์เมื่อปี 1989 ที่ทำให้พวกเขายิ่งชิงชังไปเสียหมดตั้งแต่หนังสือพิมพ์จอมเต้าข่าว The Sun พรรคอนุรักษ์นิยมของ มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ สตรีเหล็กผู้เป็นนายกรัฐมนตรีที่ป้ายสีเดอะ ค็อปว่าเป็นต้นเหตุของความตายของคน 97 ชีวิต ไปจนถึงราชวงศ์ ซึ่งทำให้มีความกังวลว่าในช่วงของการสงบนิ่งเพื่อถวายอาลัยแก่สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 จะเกิดความวุ่นวายที่ไม่สวยงามขึ้น
เรื่องนี้ทำให้บุคคลสำคัญของทีมอย่าง เซอร์เคนนี ดัลกลิช ไปจนถึงกลุ่มครอบครัวผู้ที่สูญเสียจากเหตุการณ์ที่ฮิลส์โบโรห์ได้วิงวอนขอให้ทุกคนปฏิบัติตัวอย่างผู้มีเกียรติ เพื่อมิให้ชื่อเสียงอันดีงามของสโมสรต้องเสื่อมเสีย
ที่สุดแล้วเดอะ ค็อปในสนาม ซึ่งคล็อปป์ยืนยันว่าพวกเขารู้จักการให้เกียรติแก่คนอื่นเป็นอย่างดี ได้ทำให้ตัวเองและทุกคนภาคภูมิใจกับการร่วมยืนสงบนิ่งแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ 30 วินาที และแม้ว่าจะมีบางส่วนในสนามที่โห่หรือมีเสียงตะโกน ‘Liverpool’ และ ‘Redmen’ บ้างแต่ก็เป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น
ก่อนที่คืน ‘ยูโรเปียนไนต์’ เกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่มกับอาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัมจะเริ่มต้นขึ้น โดยที่คล็อปป์ไม่ได้ทำการปรับเปลี่ยนทีมในแบบ Reinvent อย่างที่เคยบอกไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ลิเวอร์พูลยังเล่นในระบบการเล่นแบบเดิม 4-3-3 เล่นในรูปแบบเดิม สิ่งที่เพิ่มเติมคือการพยายามกลับมาเป็นตัวของตัวเองให้ได้อีกครั้งเท่านั้น
นั่นทำให้นักเตะในชุดแดงเพลิงเปิดเกมไล่เพรสซิงคู่ปรับจากแดนกังหันลมอย่างดุดันแม้ว่าจะไม่ดุเหมือนในวันที่ท็อปฟอร์มก็ตาม โดยที่การกลับมาของ โจเอล มาทิป ในแผงหลัง ติอาโก อัลคันทารา ในแดนกลาง และ ดีโอโก โชตา ซึ่งได้ออกสตาร์ทเป็นกองหน้าตัวเป้าก่อน ดาร์วิน นูนเญซ และ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ช่วยทำให้รูปเกมนั้นลงตัวกลมกล่อมเหมือนกาแฟดำที่ใส่นม
และโชตาก็เป็นคนที่มีส่วนกับการได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่ 17 ของทีม ซึ่งเริ่มจากรูปแบบการเล่นที่เหมือนหายไปนานในช่วงก่อนนี้คือการเปิดบอลยาวเพื่อสร้างทางลัดไปสู่โอกาสจบสกอร์ โดยหลังจากที่ หลุยส์ ดิอาซ โหม่งเล่นต่อให้กองหน้าชาวโปรตุเกสเก็บบอลได้ก่อนไหลต่อให้ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ สังหารประตูอย่างเด็ดขาด เป็นประตูนำ 1-0 ของลิเวอร์พูล หยุดสถิติยิงประตูไม่ได้ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาแอนฟิลด์ของกองหน้าชาวอียิปต์ลงแค่ 4 นัด
อย่างไรก็ดี เกมรับของลิเวอร์พูลยังเปราะบางและอ่อนไหวอยู่ และการเผลอแค่ครั้งเดียวก็ทำให้อาแจกซ์ไล่ตีเสมอได้ในอีก 10 นาทีถัดมา โดยยังเป็นการเจาะทะลวงทางฝั่งของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เมื่อ ดาเลย์ บลินด์ เปิดบอลขึ้นหน้าไปยังพื้นที่ว่างหลังแบ็กให้ สตีเวน เบิร์กฮุยส์ หลุดทะลุไปทางซ้ายก่อนจะตบกลับเข้ากลางมาถึง โมฮัมเหม็ด คูดุส ได้จับแต่งบอลด้วยน้ำหนักที่พอดีก่อนซัดเต็มเท้าลูกเช็ดคานลงมาอย่างสวยงาม
เกมจึงจบครึ่งแรกที่สกอร์ 1-1 โดยที่ในครึ่งเวลาหลังทางด้านอาแจกซ์ตรึงเกมรับเป็นหลัก ปล่อยให้ลิเวอร์พูลครองบอลได้แต่ไม่สามารถสร้างความอันตรายได้มากนัก แม้ว่าจะมีโอกาสในการลุ้นทำประตูมาก แต่โอกาสที่จะแจ้งมีน้อย และถึงมีก็ดูเหมือนรองแชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้วจะขาดความเฉียบขาดไป แม้จะส่ง ดาร์วิน นูนเญซ กองหน้าตัวเป้าลงมาแทนโชตาในช่วง 25 นาทีสุดท้ายของเกมแล้วก็ตาม
ในขณะที่เวลาใกล้หมดลง ความหวังเริ่มเหลือน้อย ลิเวอร์พูลมาได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งจากลูกเตะมุม และคราวนี้ โจเอล มาทิป ขึ้นโขกบอลเต็มศีรษะ ซึ่งแม้จะโดนโขกสกัดออกมาได้แต่บอลนั้นผ่านเส้นประตูไปแล้ว และผู้ตัดสิน อาร์ตูร์ ดิอาส ชาวโปรตุเกส ได้รับสัญญาณจาก Goal-Line จึงให้เป็นประตู
ประตูนี้เป็นประตูชัยที่ทำให้ลิเวอร์พูลชนะไป 2-1 แม้จะเป็นชัยชนะที่ได้มาอย่างยากลำบาก แต่สำหรับคล็อปป์ที่ดูเครียดกว่าปกติตลอดทั้งเกม และดูโล่งใจอย่างมากหลังสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย ชัยชนะนัดนี้สำคัญสำหรับทีมของเขาในการจะหาทางกลับมาจากเขาวงกตของความล้มเหลว
“ยังต้องทำให้ดีกว่านี้อีกมาก” ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันกล่าวถึงสิ่งที่ลูกทีมต้องปรับปรุงหลังจากนี้
อ้างอิง:
- https://www.thetimes.co.uk/article/joel-matip-rescues-liverpool-at-the-death-against-ajax-8g7z097lp
- https://www.thetimes.co.uk/article/anfield-crowd-respects-period-of-silence-for-queen-3xxgzsv3c
- https://www.theguardian.com/football/2022/sep/13/klopp-liverpool-bravery-ajax-first-step-champions-league-boehly